2 ธันวาคมที่ผ่านมา ถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีที่ “ระบอบทักษิณ” สูญเสียอำนาจรัฐอย่างเป็นทางการเป็นรอบที่ 2
หลังจากที่สูญเสียไปครั้งแรก โดยการยึดอำนาจของคณะ คปค.เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 และได้กลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง โดยการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งพรรคพลังประชาชน ที่ถูกเชิดให้เป็นกลไกเข้าสู่อำนาจแทนพรรคไทยรักไทยถูกยุบ ได้ที่นั่ง ส.ส.ในสภามากที่สุด
แต่การเข้าสู่อำนาจในรอบหลังนี้ มีระยะเวลาสั้นนัก แม้จะใช้งานนายกฯ นอมินีไปถึง 2 คน นั่นเพราะสัจจธรรมที่ว่า “สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อใน” คือพฤติกรรมที่ฉ้อฉล เลวทราม และอำมหิตของระบอบทักษิณนั่นเอง
เป็นพฤติกรรมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากความผิด และให้พรรคพลังประชาชนพ้นจากการถูกยุบพรรค รวมไปถึงพฤติกรรมทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ตลอดจนนายใหญ่ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
นั่นเป็นสาเหตุให้ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”ต้องรวมพลังกันออกมาขับไล่รัฐบาลนอมินี หลังจากออกแถลงการณ์เตือนล่วงหน้าถึง 8 ฉบับ ระหว่างเดือน ก.พ.-พ.ค.51
การชุมนุมของพันธมิตรฯ จึงเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค.51 เพื่อต่อต้านแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาล เมื่อพบว่ารัฐบาลนอมินีมีพฤติกรรมที่ขาดความชอบธรรมมากขึ้น
ขณะที่รัฐบาลนอมินี โต้ตอบด้วยการหาทางทำลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ด้วยวิธีการต่างๆ นานา
โดยเฉพาะในช่วงที่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ มารับตำแหน่งนายกฯ หุ่นเชิดแทน สมัคร สุนทรเวช ที่พ้นจากตำแหน่งฯ เพราะทำผิดรัฐธรรมนูญ กรณีไปจัดรายการ “ชิมไปบ่นไป”แลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจ
ความอำมหิตที่แฝงไว้ใต้บุคลิกนุ่มนิ่มของสมชาย แสดงออกมาแบบสุดๆ ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งมีประชาชนถูกอำนาจรัฐเข่นฆ่าในเหตุการณ์วันนั้น 2 คน คือนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ และ พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี ทั้งยังมีผู้บาดเจ็บอีกราว 400 คน
การใช้อำนาจรัฐอย่างเหี้ยมโหดครั้งนั้น ไม่เพียงแค่ต้องการเปิดทางเข้าไปแถลงนโยบายในสภา แต่ยังต้องการข่มขู่ให้พันธมิตรฯ ยกเลิกการชุมนุม
โดยหารู้ไม่ว่า นั่นเป็นตัวเร่งให้รัฐบาลนอมินีหลุดจากอำนาจเร็วขึ้น
หลังจากนั้น การคุกคามเอาชีวิตชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลและที่อื่นๆ ที่มีการจัดกิจกรรมของพันธมิตรฯ ได้เพิ่มความถี่และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จนวันที่ 20 พ.ย.51 คนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่หน้าเวทีปราศรัยในทำเนียบรัฐบาล ทำให้นายเจนกิจ กลัดสาคร เสียชีวิต เป็นจุดที่ทำให้แกนนำพันธมิตรฯ ต้องประกาศยกระดับการชุมนุมเผด็จศึกรัฐบาลหุ่นเชิดแบบ“ม้วนเดียวจบ”โดยนัดรวมพลังครั้งสุดท้ายวันที่ 23 พ.ย.ที่หน้ารัฐสภา
ระหว่างรอวันชุมนุมใหญ่ คนร้ายยังคงยิงระเบิดเข้าใส่ผู้ชุมนุมทำให้นายยุทธพงษ์ เสมอภาพ ถูกระเบิดขณะแจกข้าวให้การ์ดที่บริเวณแยกมิสกวัน เมื่อวันที่ 22 พ.ย.และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
กลายเป็นเงื่อนไขเร่งเร้าให้พันธมิตรฯ ต้องใช้มาตรการที่แตกหักกดดันรัฐบาล
ยุทธการ “ม้วนเดียวจบ”จึงขยายพื้นที่ไปชุมนุมที่สนามบินดอนเมือง ต่อด้วยสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเพิ่มแรงกดดันไปยังรัฐบาลนอมินี โดยยังยึดสมรภูมิเดิมที่ทำเนียบเอาไว้
กระนั้น โจรอำมหิตลิ่วล้อนอมินียังคงตามเข่นฆ่าผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ไม่หยุดหย่อน นางสาวกมลวรรณ หมื่นหนู ถูกระเบิดที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 พ.ย. เสียชีวิตในเวลาต่อมา และนายรณชัย ไชยศรี ถูกระเบิดเสียชีวิตที่สนามบินดอนเมือง เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.
เป็นสถานการณ์ที่เร่งเร้าให้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ในวันที่ 2 ธ.ค. และนั่นเป็นวาระสุดท้ายของรัฐบาลนอมินี
หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนขั้วของกลุ่มเนวิน ชิดชอบ จึงเกิดรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะที่กลุ่มเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ที่ย้ายเข้าไปสังกัดพรรคเพื่อไทย ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแทน
แต่หน้าที่ของฝ่ายค้านยุคนี้ แทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่กลับทำหน้าที่หลักในการหาทางให้ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากความผิด โดยการพยายามดึงเอาอำนาจรัฐกลับคืนเป็นของตัวเองให้เร็วที่สุด ก่อนที่คดีความต่างๆ จะมีคำพิพากษาออกมา
และวิธีการที่ใช้ ก็ยังคงความฉ้อฉล อำมหิต เห็นแก่ตัว ไม่ต่างจากเมื่อตอนที่เป็นรัฐบาล
เมื่อเดือนเมษายน ภาพความป่าเถื่อนของผู้ร่วมชุมนุมคนเสื้อแดง ความฉ้อฉล ปลิ้นปล้อน ของแกนนำระดับ “หัวขวด” และแกนนำตัวพ่ออย่างทักษิณ ชินวัตร ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
ทักษิณและบริวารพ่ายแพ้อย่างยับเยินในเหตุการณ์เดือนเมษายน แต่กระนั้นก็ยังเลวทรามพอที่จะหยิบเอาเหตุการณ์ดังกล่าวไปบิดเบือนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ทั้งกรณีการสร้างแรงกดดันไปยังสถาบันเบื้องสูง การปล่อยข่าวลือว่ามีคนเสื้อแดงถูกทหารยิงตายหลายร้อยคน รวมถึงการตัดต่อเสียงของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
แต่ดูเหมือนว่า ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของทักษิณและบริวารตกต่ำลงไปอีก การนัดชุมนุมใหญ่ “แดงทั้งแผ่นดิน”หลายระลอก ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเรื่อยมา จึงไม่สามารถสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลได้เท่าที่ควร
เกมอำมหิตอันใหม่ที่ทักษิณงัดออกมาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบกับคืนมา คือการ “ทรยศชาติ”ไปเป่าหูผู้นำประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลประโยชน์ส่วนตัวร่วมกัน ให้ช่วยสร้างแรงกดดันเข้ามายังรัฐบาลไทย
ปัญหาไทยกับกัมพูชาขณะนี้ ถึงทักษิณและบริวารจะอมเขาพระวิหารมาปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้อง ก็คงไม่มีใครเชื่อ
เพราะคำพูดที่ฮุนเซน นำมาเหยียบย่ำระบบยุติธรรมไทย รวมถึงดูหมิ่นเหยียดหยามโดยตรงต่อตัวนายกฯ ไทยนั้น มันคือคำพูดของทักษิณและคนเสื้อแดงนั่นเอง
เป็นการพูดเพื่อจงใจยั่วยุให้นายกฯ ไทยตอบโต้ และเอาคำตอบโต้นั้นไปเป็นวัตถุดิบในการดิสเครดิตผู้นำไทยว่า “ไม่มีวุฒิภาวะ”บ้าง “ไม่โตเสียที”บ้าง “สร้างความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน”บ้าง โดยที่ไม่พูดถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ใครเป็นฝ่ายที่สร้างปัญหาขึ้นมาก่อน
นี่เป็นเกมที่อำมหิตชั่วช้าเลวทรามของทักษิณและบริวาร ที่พร้อมจะทำลายชาติตัวเองให้ย่อยยับ เพียงเพื่อให้สมประโยชน์ที่ตนเองมีเป็นส่วนตัวเท่านั้น