xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯรุกขายประกัน ถือหุ้นเมืองไทยเพิ่มหวังดันสัดส่วนค่าฟีเบียดรายได้ดบ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - กสิกรฯรุกขยายแบงก์แอสชัวร์รันส์ ถือหุ้น"เมืองไทยประกันชีวิต"เพิ่มผ่านเมืองไทยกรุ๊ป โฮลดิ้ง กดสัดส่วนการถือหุ้นของโฟทิสเหลือ 9% จาก 20% คาดปีนี้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันโต 60% และหวังเพิ่มสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมหลังการเข้าถือหุ้น

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินการขยายการลงทุนในบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต(MTL) โดยธนาคารและบริษัท ธัญนิธิวัฒนา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ธนาคารถือหุ้นทางตรงและทางอ้อม 100% ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัท เมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด (MTGH) จำนวน 7,725,147 หุ้นและ 11,466,488 หุ้น ตามลําดับรวมจํานวนทั้งสิ้น 19,191,635 หุ้น คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 7,528,826,539.09 บาท ส่งผลให้ธนาคารมีสัดส่วนการถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมใน MTGH ประมาณ 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่ออกโดย MTGH ซึ่งการขยายการลงทุนดังกล่าว จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งด้วยช่องทางการขายที่หลากหลาย พร้อมประกาศก้าวสู่อันดับ 1 ในธุรกิจประกันชีวิต

"วันนี้ธนาคารได้โอนเงินให้กับเมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง 7,500 ล้านบาท และโอนให้โฟร์ทิสอีก 1,880 ล้านบาท ซึ่งทำให้โฟร์ทิสถือหุ้นในเมืองไทย กรุ๊ป โฮลดิ้ง เหลือ 9% จากเดิมที่ถืออยู่ 20%"นายประสาร กล่าว

ทั้งนี้ การเข้าซื้อหุ้นในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของธนาคาร ซึ่งให้ความสำคัญกับการให้บริการทางการเงินอย่างครบวงจรและเต็มรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและมุ่งเน้นการเจริญเติบโตในธุรกิจที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียม โดยการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร (Bancassurance) เป็นธุรกิจที่มีความเกื้อหนุนกับธนาคารและมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต สำหรับธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด ขายประกันผ่านช่องทางธนาคารประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารคาดว่าในปีนี้การเติบโตด้านรายได้ค่าธรรมเนียมของการขายประกันผ่านช่องทางธนาคารมีการเติบโตประมาณร้อยละ 60 และธนาคารคาดว่าหลังการซื้อหุ้นของธนาคารในครั้งนี้จะเพิ่มการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมของการขายประกันผ่านช่องทางธนาคาร

นอกจากนี้ ในอนาคตธนาคารมีความต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าธรรมเนียมใหอยู่ในระดับใกล้เคียงกับรายได้จากดอกเบี้ย เนื่องจากรายได้จากค่าธรรมเนียมเป็นรายได้ที่ไม่มีต้นทุน และไม่มีความเสี่ยง ซึ่งแตกต่างจากรายได้จากดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งมีทั้งต้นทุนและความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สูญได้ โดยปัจจุบันรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารอยู่ที่ 20-30% และการเข้าซื้อหุ้น MTGH ในครั้งนี้ ทำให้ในสิ้นปีนี้ขนาดมูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารจะเพิ่มขึ้นอีก 7 หมื่นล้านบาท

นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า บริษัทเมืองไทยประกันชีวิตได้ปรับนโยบายเพื่อตอบรับธุรกิจประกันภัยเริ่มปรับเข้าสู่การเชื่อมโยงของการให้บริการทางการเงิน (Financial Convergence) และยึดถือนโยบายหลักที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมาอย่างถูกทางในการเป็นผู้นำและบุกเบิกการตลาดที่หลากหลายช่องทาง (Multi Distribution Channels) เพื่อการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งพิจารณาได้จากความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในการเพิ่มช่องทางการตลาดในโครงการ Bancassurance นับได้กว่าเป็นระยะเวลากว่า 5 ปี และประสบความสำเร็จด้วยดีมีอัตราเติบโตของเบี้ยประกันที่สูงในธุรกิจ เนื่องจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความหลากหลายสามารถตอบสนองกับกลุ่มลูกค้าของธนาคารให้ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครอง การออมเงินเพื่ออนาคต เพื่อการศึกษาของบุตรหลาน เพื่อวางแผนการเกษียณอายุ และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน Universal Life และ Unit Link

ทั้งนี้ ในด้านความมั่นคงบริษัทเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 3 ของธุรกิจประกันชีวิต จาก 24 บริษัทประกันชีวิตที่ประกอบการในประเทศไทย โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2552 มีเบี้ยประกันรับรวม 17,556 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 25 สินทรัพย์รวม 69,614 ล้านบาท และยังเป็นบริษัทฯ ที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเงินที่เห็นได้ชัดเจนโดยบริษัทฯ มีเงินสำรองประกันชีวิต 57,777 ล้านบาท มีเงินกองทุนสูงถึง 8,761 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นร้อยละ 758 ของเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินจาก Fitch Ratings ที่ AA (tha)/Stable และ BBB+/Stable รวมทั้งจากสถาบัน Standard & Poor’s ในระดับ BBB+/Stable และ axA+ (ASEAN) ซึ่งจะเป็นเครื่องยืนยันและสร้างความมั่นใจถึงความมั่นคงให้แก่ลูกค้าได้

"สำหรับความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างเมืองไทยประกันชีวิต โฟร์ทิส อินชัวรันส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็น. วี. และธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยบริษัทฯ จะสามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่เสริมการให้บริการทางการเงินของธนาคารได้อย่างกว้างขวางและครบถ้วนมากขึ้น พร้อมไปกับการที่ธนาคารก็จะสามารถใช้ศักยภาพของทรัพยากรที่มีคุณภาพของตัวแทนกว่า 20,000 คนที่มีความพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าซึ่งจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อทั้ง 2 องค์กร โดยจะนำพาให้เมืองไทยประกันชีวิตเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งและก้าวสู่อันดับ 1 ของธุรกิจในอนาคต"นายสาระกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น