xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯคาดยูนิตลิงค์ดันเอยูเอ็มโตอีก วาดฝันเพิ่มกองทุนร่วมโครงการเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บลจ.กสิกรไทยวาดฝันจับมือเมืองไทยประกันชีวิตทำยูนิตลิงค์ดัน เอยูเอ็มโตระยะยาว เหตุเป็นการเพิ่มช่องทางการขายและเข้าถึงนักลงทุนง่ายขึ้น พร้อมปัดรุกรวมมือบริษัทประกันอื่นเพิ่ม แต่เล็งนำกองทุนอื่นๆ ของบริษัทขยายเข้าโครงการมากกว่า หลังประเดิมใช้เพียง 7 กองทุนทั้ง K-CBOND K-GOLD และกองทุนเปิดในกลุ่ม K-Lifestyle

นายรพี สุจริตกุล
นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ความร่วมมือกันระหว่างบลจ.กสิกรไทยกับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต จำกัด เพื่อนำกองทุนรวมจำนวน 7 กองไปเป็นส่วนหนึ่งของกรมธรรม์ประกันภัยเมืองไทยยูนิตลิงค์ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนให้กับผู้ทำประกันนั้น น่าจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของขยายช่องทางการจำหน่ายในส่วนของกองทุนรวมให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และเชื่อว่าน่าจะมีผลต่อขนาดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร(AUM)ในระยะยาวอีกด้วย

"น่าจะเป็นการดีสำหรับทุกฝ่ายและนักลงทุนเองจะได้มีสินค้าใหม่ขึ้นมารองรับความต้องการวางแผนการเงินในอนาคต โดยการทำประกันและนำ 2 ส่วนมาประกอบกันเพื่อให้เกิดความสะดวกมากขึ้น และสำหรับบลจ.กสิกรไทยเองเท่ากับเป็นการขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นจากช่องทางการจำหน่ายเดิมที่พึ่งพาการขายหน่วยลงทุนผ่านสาขาธนาคาร และเซลลิงเอเจนท์เป็นหลัก ซึ่งการเพิ่มช่องทางนี้ก็น่าจะทำให้คนไทยรู้จักกองทุนรวมมากขึ้นด้วยเนื่องจากเป็นการขายตรงที่สามารถเข้าไปอธิบายให้นักลงทุนฟังถึงตัว"นายรพีกล่าว

สำหรับกองทุนที่นำไปใช้ในความร่วมมือในครั้งนี้ ประกอบด้วยกองทุนเปิด K-CBOND ที่ลงทุนในตราสารหนี้ กองทุนเปิดเคหุ้นทุน กองทุนเปิด K-GOLD และกองทุนเปิดในกลุ่ม K-Lifestyle ทั้ง 4 กองทุน (K-2500,K-2510,K-2520,K-2530)

ส่วนการขยายตัวของกรมธรรม์นี้จะเป็นหน้าที่ของการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต แต่ทราบว่าน่าจะมีการตั้งเป้าเม็ดเงินทำประกันเบื้องต้นที่ประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งตรงนี้จะเป็นเรื่องที่วัดผลได้ยากว่าจะทำได้มากน้อยขนาดไหน เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ของทุกฝ่าย ทั้งนักลงทุน สาขา ตัวแทนจำหน่าย และขึ้นอยู่กับทางเมืองไทยประกันชีวิตด้วยว่าจะสามารถขยายตัวแทนจำหน่ายที่มีใบอนุญาตได้รวดเร็วหรือไม่ รวมถึงสินค้าที่นำเสอนนั้นจะติดตลาดแค่ไหน แต่ในส่วนของกองทุนรวมนั้นในระยะยาวน่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาอย่างแน่นอนจากการที่มีช่องทางการจำหน่ายมากขึ้น

นายรพี กล่าวอีกว่า ความร่วมมือกับเมืองไทยประกันชีวิตในอนาคตน่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก แต่คงไม่ใช่การนำตัวแทนจำหน่ายประกันชีวิตเข้ามามีส่วนร่วมในการขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม แต่น่าจะเป็นการขยายจำนวนกองทุนที่จะนำไปลิ้งค์กับกรมธรรม์รูปแบบนี้ให้มากขึ้นอีกมากกว่า เนื่องจากเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นจึงคัดเลือกกองทุนที่เข้าใจง่ายมาเป็นหัวหอกในการอธิายถึงการลงทุนก่อน ส่วนการขยายความร่วมมือไปยังบริษัทประกันชีวิตอื่นขณะนี้ยังไม่มีแนวความคิดนั้นแต่อย่างใด

"อย่างที่บอกว่าเราก็เป็นผู้นำในส่วนของการลงทุนและเมืองไทยเองเขาก็เป็นผู้นำในด้านประกันชีวิต ซึ่งตอนนี้ยังไม่คิดจะไปจับมือกับบริษัทอื่น ส่วนการขยายไลน์ให้คนขายประกันไปขายกองทุนคงไม่เป็นแบบนั้น ดูแค่เรื่องของค่าคอมมิชชั่นการขายประกันมันต่างกับการขายประกันมาก ถ้าจะให้บอกคงจะเป็นการขยายกองทุนที่จะนำมาลิงค์กับประกันมากกว่า แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ตั้งเป้าว่าจะเอากกองไหนเข้ามาอีกเพราะขณะนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นคงจะต้องดูกันต่อไป"นายรพีกล่าว

นายรพี กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดหุ้นไทยนั้นหากมองในระยะ 6 เดือนต่อจากนี้เชื่อว่าดัชนีน่าจะปรับตัวไปอยู่ที่ระดับ 800 จุดได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับเงินลงทุนที่จะไหลเข้ามา และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งตัวเลขการส่งออกที่จะเป็นตัวผลักดันให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีการปรับตัวในระดับดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามในช่วงระยะเวลานั้นจะยังคงมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน โดยถึงแม้ตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวไปมากแล้วตั้งแต่ต้นปี แต่เชื่อว่าความผันผวนที่เกิดขึ้นก็ยังมีช่องว่างให้ดัชนีปรนับตัวขึ้นได้อีก

ทั้งนี้หากมองตัวแปรในเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตนเองมองว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาคจะไม่เหมือนกัน โดยถ้ามองผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP)ของประเทศจีนปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ในระดับ 8% กว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศเกาหลีใต้ที่เร็วกว่ากำหนด และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศออสเตรเลีย ก็น่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น