กสิกรไทยเดินหน้าเปิดเกมรุกให้บริการจัดพอร์ตนักลงทุน K-WePlan ผนึกกำลังแบงก์-บลจ. ออกกองทุน เคแพลน 1-2 และ 3 หวังตอบโจทย์จากคำแนะนำด้านการเงินให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น มั่นใจรองรับความต้องการครบทุกระดับ ตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง และความเสี่ยงสูง จากนโยบายการลงทุน 3 เแบบ
นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารได้ทำการเปิดให้บริการวางแผนทางการเงิน K-WePlan มาเป็นเวลา 2 ปี โดยมีลูกค้าให้การตอบรับเข้ามาใช้บริการนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกสิกรไทยทำความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย ในการพัฒนากองทุนที่หลากหลายและเหมาะสมกับศักยภาพในการออมและความต้องการที่แตกต่างกันของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม
โดยล่าสุดได้ทำการเปิดขายกองทุนใหม่ กองทุนเปิดเค แพลน 1,2 และ 3 ที่เชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์ดังกล่าวให้กับนักลงทุนได้ โดยกองทุนนี้จะเน้นเรื่องของการจัด Asset allocation (การจัดสรรหรือการจัดแบ่งประเภทสินทรัพย์ที่จะลงทุนในสัดส่วนต่าง ๆ) เพื่อให้เป็นไปตาม ความเสี่ยง เป้าหมายผลตอบแทน ที่นักลงทุนต้องการได้ ตามระยะเวลาที่นักลงทุนสามารถลงทุนได้
"การมีกองทุนประเภทนี้นั้น เพราะหากมองขณะนี้มีทางเลือกในการออมค่อนข้างน้อย ซึ่งถ้าดอกเบี้ยต่ำผลตอบแทนก็น้อย และถ้าเป็นช่วงที่หุ้นผันผวนนักลงทุนก็ต้องมีความรู้และติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้นักลงทุนหันมาใช้กองทุนรวมมากขึ้น แต่ที่ผ่านมากองทุนส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า คือเป็นตราสารหนี้อย่างเดียว หรือเป็นหุ้นอย่างเดียว แต่กองนี้จะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและตั้งเป้าให้ผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงระยะเวลาเหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนมากที่สุด"นายวีรวัฒน์
ด้านนายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เมื่อเริ่มการให้บริการวางแผนทางการเงินทำให้บริษัทมีความคิดว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ การให้คำแนะนำสามารถดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเชื่อว่า กองทุนเปิดเค แพลนทั้ง 3 กอง น่าจะช่วยตอบสนองให้บริการดังกล่าวครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 3 กองจำทำการเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 19-26 ตุลาคมนี้ โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ถึง 2 แบบ คือการลงทุนแบบเฉลี่ยราคา(Dollar Cost Averaging) ด้วยเงินลงทุนทุกเดือนขั้นต่ำเพียง 3,000 บาท หรือการลงทุนแบบเงินก้อน ในมูลค่าขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับกองทุนเปิดเค แพลน 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ 100% และจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงในการลงทุนและสามารถรับควาาเสี่ยงได้ต่ำ
ส่วนกองทุนเปิดเค แพลน 2 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน 70% และลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 30% ส่วนกองทุนเปิดเค แพลน 3 มีนโยบายในการลงทุนในตราสารหนี้ ที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน 45% และลงทุนในหุ้นไม่เกิน 55% โดยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 30%
"การที่เปิดช่องให้ลงทุนต่างประเทศได้เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนของผู้จัดการกองทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหามองว่าเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นดอกเบี้ยในประเทศแถบนี้จะดีกว่าเราก็จะเป็นการเพิ่มผลตอบแทนได้ เรื่องหุ้นก็เช่นเดียวกัน ถ้ามองหุ้นเอเชียฟื้นเร็วก็น่าจะนำเงินไปลงทุนได้ โดยไม่จำกัดแค่หุ้นบ้านเรา เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัวด้วย ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลกระทบต่อการลงทุนนั้นแน่อนว่าส่วนใหญ่เราจะทำการปิดความเสี่ยงด้านนี้อยู่แล้ว"นายรพีกล่าว
นอกจากนี้ นายวีรวัฒน์ ยังกล่าวถึงท้ายว่า การเปิดขายกองทุนนี้ไม่ได้ตั้งเป้าให้ขนาดของมันโตมากนัก โดยคาดว่าหลังจากไอพีโอจะมีเงินลงทุนมาประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่ทางธนาคารต้องการให้กองทุนนี้ตอบโจทย์ในระยะยาวมากกว่า ซึ่งหากมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องกองทุนจะขยายตามความสม่ำเสมอของการลงทุน ส่วนรองรับการลงทุนสำหรับกลุ่มลูกค้าของธนาคารนั้น คาดว่าหากลูกค้าแบงก์มีความเข้าใจก็จะเข้าลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเคแพลน 1 กอ่น แต่เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็น่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ นอกจากนี้ การขยายตัวของกองทุนนี้ก็น่าจะเป็นไปเพื่อการตอบสนองตามเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละกลุ่มมากกว่า
นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่ธนาคารได้ทำการเปิดให้บริการวางแผนทางการเงิน K-WePlan มาเป็นเวลา 2 ปี โดยมีลูกค้าให้การตอบรับเข้ามาใช้บริการนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกสิกรไทยทำความร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย ในการพัฒนากองทุนที่หลากหลายและเหมาะสมกับศักยภาพในการออมและความต้องการที่แตกต่างกันของนักลงทุนแต่ละกลุ่ม
โดยล่าสุดได้ทำการเปิดขายกองทุนใหม่ กองทุนเปิดเค แพลน 1,2 และ 3 ที่เชื่อว่าน่าจะตอบโจทย์ดังกล่าวให้กับนักลงทุนได้ โดยกองทุนนี้จะเน้นเรื่องของการจัด Asset allocation (การจัดสรรหรือการจัดแบ่งประเภทสินทรัพย์ที่จะลงทุนในสัดส่วนต่าง ๆ) เพื่อให้เป็นไปตาม ความเสี่ยง เป้าหมายผลตอบแทน ที่นักลงทุนต้องการได้ ตามระยะเวลาที่นักลงทุนสามารถลงทุนได้
"การมีกองทุนประเภทนี้นั้น เพราะหากมองขณะนี้มีทางเลือกในการออมค่อนข้างน้อย ซึ่งถ้าดอกเบี้ยต่ำผลตอบแทนก็น้อย และถ้าเป็นช่วงที่หุ้นผันผวนนักลงทุนก็ต้องมีความรู้และติดตามอย่างใกล้ชิด ทำให้นักลงทุนหันมาใช้กองทุนรวมมากขึ้น แต่ที่ผ่านมากองทุนส่วนใหญ่จะเน้นหนักไปข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า คือเป็นตราสารหนี้อย่างเดียว หรือเป็นหุ้นอย่างเดียว แต่กองนี้จะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและตั้งเป้าให้ผลตอบแทน ความเสี่ยง รวมถึงระยะเวลาเหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนมากที่สุด"นายวีรวัฒน์
ด้านนายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เมื่อเริ่มการให้บริการวางแผนทางการเงินทำให้บริษัทมีความคิดว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ การให้คำแนะนำสามารถดำเนินการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเชื่อว่า กองทุนเปิดเค แพลนทั้ง 3 กอง น่าจะช่วยตอบสนองให้บริการดังกล่าวครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ กองทุนทั้ง 3 กองจำทำการเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 19-26 ตุลาคมนี้ โดยนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ถึง 2 แบบ คือการลงทุนแบบเฉลี่ยราคา(Dollar Cost Averaging) ด้วยเงินลงทุนทุกเดือนขั้นต่ำเพียง 3,000 บาท หรือการลงทุนแบบเงินก้อน ในมูลค่าขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
สำหรับกองทุนเปิดเค แพลน 1 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ 100% และจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน และสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกิน 20% ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคงในการลงทุนและสามารถรับควาาเสี่ยงได้ต่ำ
ส่วนกองทุนเปิดเค แพลน 2 มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน 70% และลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30% นอกจากนี้ยังสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 30% ส่วนกองทุนเปิดเค แพลน 3 มีนโยบายในการลงทุนในตราสารหนี้ ที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน 45% และลงทุนในหุ้นไม่เกิน 55% โดยสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ไม่เกิน 30%
"การที่เปิดช่องให้ลงทุนต่างประเทศได้เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนของผู้จัดการกองทุนให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งหามองว่าเศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นดอกเบี้ยในประเทศแถบนี้จะดีกว่าเราก็จะเป็นการเพิ่มผลตอบแทนได้ เรื่องหุ้นก็เช่นเดียวกัน ถ้ามองหุ้นเอเชียฟื้นเร็วก็น่าจะนำเงินไปลงทุนได้ โดยไม่จำกัดแค่หุ้นบ้านเรา เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงไปในตัวด้วย ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลกระทบต่อการลงทุนนั้นแน่อนว่าส่วนใหญ่เราจะทำการปิดความเสี่ยงด้านนี้อยู่แล้ว"นายรพีกล่าว
นอกจากนี้ นายวีรวัฒน์ ยังกล่าวถึงท้ายว่า การเปิดขายกองทุนนี้ไม่ได้ตั้งเป้าให้ขนาดของมันโตมากนัก โดยคาดว่าหลังจากไอพีโอจะมีเงินลงทุนมาประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่ทางธนาคารต้องการให้กองทุนนี้ตอบโจทย์ในระยะยาวมากกว่า ซึ่งหากมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องกองทุนจะขยายตามความสม่ำเสมอของการลงทุน ส่วนรองรับการลงทุนสำหรับกลุ่มลูกค้าของธนาคารนั้น คาดว่าหากลูกค้าแบงก์มีความเข้าใจก็จะเข้าลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเคแพลน 1 กอ่น แต่เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็น่าจะเริ่มปรับเปลี่ยนการลงทุนได้ นอกจากนี้ การขยายตัวของกองทุนนี้ก็น่าจะเป็นไปเพื่อการตอบสนองตามเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละกลุ่มมากกว่า