เรามาร่วมกันพิสูจน์แนวคิดที่เป็นเหตุทำให้ไทยเราเสื่อมหายนะยาวนาน 77 ปี อย่างรอบคอบรอบด้าน กับการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติด้วยแนวทางธรรมาธิปไตย ทั้งนี้ขอย้ำว่าคณะ ผู้ปกครองไทยได้ หลงผิดอย่างใหญ่หลวง 6 ประการคือ
1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบกับรัฐธรรมนูญ การวิจัยพบว่ารัฐธรรมนูญของไทยเราทั้ง 18 ฉบับ ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมหรือตัวที่บ่งชี้ให้รู้ว่าเป็นระบอบอะไร มีแต่ด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว
“ดวงอาทิตย์ย่อมเป็นศูนย์กลางและมาก่อนดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองโดยธรรมย่อมเป็นศูนย์กลางและมาก่อนวิธีการปกครอง คือ หมวดและมาตราต่างๆ ฉันนั้น”
2) ความเข้าใจผิดว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญ คือการสร้างระบอบประชาธิปไตย เป็นความเห็นผิดร้ายแรงของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะที่กระทำผิดต่อชาติของตน ความถูกต้องคือรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบนั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบที่แท้จริงแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติหายนะเรื่อยไปอย่างไม่รู้จบสิ้น
3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” การทำให้ถูกต้องคือ ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อนโดยพระเจ้าแผ่นดิน จากนั่นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครอง มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
6) เข้าใจผิดว่าประมุขแห่งชาติเป็นประมุขระบอบ พวกเขาชอบพูด ชอบเขียนกันเหลือเกินว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นี่คือความเห็นผิดและเขียนผิด กลายเป็นทำลายพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม การเมืองเลวทำให้ชาติไทยเราตกอยู่ในความหายนะ ผู้คนก็เลยโทษพระมหากษัตริย์เพราะเป็นประมุขระบอบ แต่ความถูกต้องที่แท้จริงคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประเทศไม่ใช่ประมุขระบอบ และประเทศนั้นอาจจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ได้ เช่น เผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ หรือเผด็จการรัฐประหาร แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดมายาวนาน 77 ปี ดังนี้
องค์ประกอบทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ 2475- ปัจจุบัน
ขอให้ท่านรู้อย่างถูกต้องว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด จะไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญ หรือกล่าวได้ว่า ปิดหลักการ แต่เปิดเพียงวิธีการปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ รูปการปกครอง การเลือกตั้ง ฯลฯ หรือซ่อนเร้นระบอบ แต่เปิดวิธีการปฏิบัติ หรือกระทำอันหลากหลาย
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมจะนำความพินาศมาให้อย่างไม่รู้จบสิ้น
การเมืองชนิดนี้ อุปมา ดาวเคราะห์ ปราศจากดวงอาทิตย์ จึงตั้งอยู่ ดำรงอยู่ไม่ได้
ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคการเมืองภายใต้แนวคิดเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ แตกออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายทักษิณ เสื้อแดง ยึดรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามาอิงแอบทำแนวร่วม (United Front) มีจุดหมายเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ยุทธวิธีคือ โค่นรัฐบาลและกองทัพ ฯลฯ หากฝ่ายนี้ชนะ ก็เกิดสงครามกลางเมือง
อีกฝ่ายหนึ่งยึดรัฐธรรมนูญ ฉบับ 50 โดยมีพรรคการเมืองเข้าไปอิงแอบกองทัพ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็เข้าไปทำแนวร่วม (United Front) เช่นเดียวกันแต่น้อยกว่า ฝ่ายนี้พยายามรักษาอำนาจเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด ก็จะนำไปสู่สงครามกลางเมืองเช่นเดียวกัน
สภาพการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองของรัฐบาลไหนๆ ก็ตามยุ่งเหยิง แผ่ความขัดแย้ง แผ่ความแตกแยก คอร์รัปชัน และทำลายการปกครองและสังคมทุกระดับชั้น แผ่กระจายการทำลายออกไปสู่ทุกส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดทั้งประเทศ
เมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลปกครองอย่างยุ่งเหยิง เมื่อรัฐบาลยุ่งเหยิง ย่อมเป็นเหตุให้การบริหารกระทรวงยุ่งเหยิง กรมยุ่งเหยิง จังหวัดยุ่งเหยิง อำเภอยุ่งเหยิง ตำบล หมู่บ้าน วัด โรงเรียน ครอบครัวยุ่งเหยิงล้มละลาย
สภาพที่เป็นจริง 70% ครอบครัวไทยแตกแยกล้มเหลว ทุกองค์กรแตกแยกแบ่งฝ่าย ฯลฯ
ถามว่า กลุ่มทักษิณแดง มีปัญญาในการคิดแก้เหตุวิกฤตชาติไหม ตอบว่าไม่มีปัญญา กลุ่มนี้เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง และจะนำพาประเทศชาติไปสู่สาธารณรัฐ
ถามว่า รัฐบาลนี้นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญญาไหมคิดแก้เหตุวิกฤตชาติไหม ตอบว่า รัฐบาลนี้กำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ บอกได้เลยว่ายังไม่เห็นร่องรอย น่าจะไม่มีปัญญาคิดแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เพราะยังหลงผิดใน 6 ประการข้างต้น เห็นได้จากหลงทิศ หลงทาง ยังคิดแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นอยู่เช่นเดิม
ทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ต่างก็อวดอ้างเพื่อประชาธิปไตย แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พวกเขาไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ที่พูดเช่นนี้ เพราะยังไม่เห็นกลุ่มการเมืองไหนเสนอหลักการปกครอง เชิดชูหลักการปกครอง หรือเห็นด้วยกับการปกครอง โดยธรรม ทั้งนี้ด้วยพวกเขามีความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดและด้วยความยึดมั่นถือมั่นลัทธิการเมืองตะวันตกที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ อยู่นั่นเอง ขอให้พวกเราพิจารณากันให้รอบคอบเถิด
แนวทางแก้ไขสู่การเมืองใหม่ คือธรรมาธิปไตย เพื่อเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมีปัญญาอันยิ่งใหญ่ รักชาติอันยิ่งใหญ่และความตั้งใจจริงอันยิ่งใหญ่
ก็ขอให้ทุกฝ่ายการเมือง ความสัมพันธ์สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ใน 2 ลักษณะ อันเป็นลักษณะของพระธรรมจักร คือ
1) เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย เช่น สภาวะนิพพาน ธรรมาธิปไตย เป็นด้านเอกภาพ รูปสังขาร จิตตสังขาร เป็นด้านแตกต่างหลักหลาย อสังขตธรรมเป็นด้านเอกภาพ สังขตธรรม เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย ก่อให้เกิดดุลยภาพ ดวงอาทิตย์ เป็นด้านเอกภาพ ดาวเคราะห์ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย เป็นต้น
2) ด้านเอกภาพแผ่กระจายกับด้านความแตกต่างหลากหลายรวมศูนย์ มุ่งตรงต่อองค์เอกภาพ ก่อให้เกิดดุลยภาพ มั่นคง เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ
ชาติ ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ แผ่โอบอุ้มปวงชนในชาติอันแตกต่างหลากหลาย ปวงชนทุกคนต้องพัฒนาตนเองเพื่อชาติ ก่อให้เกิดความเข้มแข็งและมั่นคง
ศาสนา ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางทางใจของศาสนิกชน และแผ่โอบอุ้มศาสนิกชน ศาสนิกชนต้องขึ้นตรงต่อสภาวะสูงสุดของศาสนา ก่อให้เกิดความเข้มแข็งและมั่นคง
พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ และแผ่พระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริ 3,000 กว่าโครงการ ทำให้ปวงชนในชาติ รัก เทิดทูน จงรักภักดีต่อพระองค์
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้แก่ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำและประมุขของประเทศ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพเพื่อสร้างสรรค์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม หลักการปกครองโดยธรรมทั้ง 9 ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญ คือหมวดและมาตราต่างๆ เป็นศูนย์กลางของกฎหมายทั้งหมดและเป็นศูนย์กลางของการปกครองทุกระดับ
เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลปกครองโดยธรรม เมื่อรัฐบาลปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การบริหารกระทรวง ทบวง กรมโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน วัด โรงเรียน ครอบครัว ฯลฯ ดำเนินไปในทิศทางที่ก้าวหน้าและมั่นคง
ดังกล่าวนี้ การปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองและสังคมทุกระดับชั้นแผ่กระจายความถูกต้อง ความเป็นธรรมออกไปสู่ทุกส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดทั้งประเทศ
พสกนิกรร่วมมือกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย โดยพระเจ้าแผ่นดิน คือการสร้างความยิ่งใหญ่ให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทุกองค์กรภายในชาติของเรา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควรจะตริตรองให้รอบคอบ อย่ามัวหลงระเริงอยู่เลย ระวังจะเสียใจในภายหลัง (สมัครเรียน โรงเรียนผู้นำธรรมาธิปไตยแห่งชาติ แสดงเจตจำนง ส่ง อีเมลมาที่ p_ariya_@hotmail.com)
1) เข้าใจผิดในการจัดความสัมพันธ์ระหว่างระบอบกับรัฐธรรมนูญ การวิจัยพบว่ารัฐธรรมนูญของไทยเราทั้ง 18 ฉบับ ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมหรือตัวที่บ่งชี้ให้รู้ว่าเป็นระบอบอะไร มีแต่ด้านวิธีการปกครอง ได้แก่ หมวด และมาตราต่างๆ เพียงด้านเดียว
“ดวงอาทิตย์ย่อมเป็นศูนย์กลางและมาก่อนดาวเคราะห์ ฉันใด หลักการปกครองโดยธรรมย่อมเป็นศูนย์กลางและมาก่อนวิธีการปกครอง คือ หมวดและมาตราต่างๆ ฉันนั้น”
2) ความเข้าใจผิดว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญ คือการสร้างระบอบประชาธิปไตย เป็นความเห็นผิดร้ายแรงของผู้ปกครองไทยมากถึง 18 คณะที่กระทำผิดต่อชาติของตน ความถูกต้องคือรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกฎหมายหลัก (Principle of Law) หน้าที่ของกฎหมายคือรักษา คุ้มครอง และสะท้อนความเป็นระบอบนั้นๆ การเอากฎหมายไปสร้างระบอบร้อยครั้ง พันฉบับ นอกจากจะไม่ได้ระบอบที่แท้จริงแล้ว จะทำให้ล้มเหลวซ้ำซาก และเกิดวิกฤตชาติหายนะเรื่อยไปอย่างไม่รู้จบสิ้น
3) เข้าใจผิดว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ถูกต้องคือ “รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย” การทำให้ถูกต้องคือ ก่อนอื่นต้องสถาปนาระบอบหรือหลักการปกครองขึ้นมาก่อนโดยพระเจ้าแผ่นดิน จากนั่นจึงร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง จึงจะเป็นภารกิจที่ถูกต้อง และเป็นการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติให้ตกไปได้
4) เข้าใจผิดว่ารูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบอบประชาธิปไตย คือเข้าใจผิดว่าระบบรัฐสภา (Parliamentary System) เป็นระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงรูปการปกครอง มีไว้เพื่อจัดความสัมพันธ์องค์กรแห่งอำนาจอธิปไตยระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ว่าจะถ่วงดุลอำนาจกันอย่างไร ซึ่งไม่เกี่ยวว่าจะเป็นระบอบอะไรก็ได้
5) เข้าใจผิดว่าการเลือกตั้ง เป็นระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งเป็นวิธีการอย่างหนึ่งเพื่อเข้าสู่อำนาจทางการเมืองซึ่งเป็นของกลาง หมายความว่าระบอบอะไรๆ ก็นำไปใช้ได้
6) เข้าใจผิดว่าประมุขแห่งชาติเป็นประมุขระบอบ พวกเขาชอบพูด ชอบเขียนกันเหลือเกินว่า “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นี่คือความเห็นผิดและเขียนผิด กลายเป็นทำลายพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ก็ตาม การเมืองเลวทำให้ชาติไทยเราตกอยู่ในความหายนะ ผู้คนก็เลยโทษพระมหากษัตริย์เพราะเป็นประมุขระบอบ แต่ความถูกต้องที่แท้จริงคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประเทศไม่ใช่ประมุขระบอบ และประเทศนั้นอาจจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ได้ เช่น เผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ หรือเผด็จการรัฐประหาร แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ที่ผิดพลาดมายาวนาน 77 ปี ดังนี้
องค์ประกอบทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ 2475- ปัจจุบัน
ขอให้ท่านรู้อย่างถูกต้องว่า ระบอบเผด็จการทุกชนิด จะไม่มีหลักการปกครอง มีแต่รัฐธรรมนูญ หรือกล่าวได้ว่า ปิดหลักการ แต่เปิดเพียงวิธีการปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญ รูปการปกครอง การเลือกตั้ง ฯลฯ หรือซ่อนเร้นระบอบ แต่เปิดวิธีการปฏิบัติ หรือกระทำอันหลากหลาย
ระบอบการเมืองใดไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมจะนำความพินาศมาให้อย่างไม่รู้จบสิ้น
การเมืองชนิดนี้ อุปมา ดาวเคราะห์ ปราศจากดวงอาทิตย์ จึงตั้งอยู่ ดำรงอยู่ไม่ได้
ในสถานการณ์ปัจจุบัน พรรคการเมืองภายใต้แนวคิดเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ แตกออกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายทักษิณ เสื้อแดง ยึดรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์เข้ามาอิงแอบทำแนวร่วม (United Front) มีจุดหมายเปลี่ยนประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ ยุทธวิธีคือ โค่นรัฐบาลและกองทัพ ฯลฯ หากฝ่ายนี้ชนะ ก็เกิดสงครามกลางเมือง
อีกฝ่ายหนึ่งยึดรัฐธรรมนูญ ฉบับ 50 โดยมีพรรคการเมืองเข้าไปอิงแอบกองทัพ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก็เข้าไปทำแนวร่วม (United Front) เช่นเดียวกันแต่น้อยกว่า ฝ่ายนี้พยายามรักษาอำนาจเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด ก็จะนำไปสู่สงครามกลางเมืองเช่นเดียวกัน
สภาพการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองของรัฐบาลไหนๆ ก็ตามยุ่งเหยิง แผ่ความขัดแย้ง แผ่ความแตกแยก คอร์รัปชัน และทำลายการปกครองและสังคมทุกระดับชั้น แผ่กระจายการทำลายออกไปสู่ทุกส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดทั้งประเทศ
เมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลปกครองอย่างยุ่งเหยิง เมื่อรัฐบาลยุ่งเหยิง ย่อมเป็นเหตุให้การบริหารกระทรวงยุ่งเหยิง กรมยุ่งเหยิง จังหวัดยุ่งเหยิง อำเภอยุ่งเหยิง ตำบล หมู่บ้าน วัด โรงเรียน ครอบครัวยุ่งเหยิงล้มละลาย
สภาพที่เป็นจริง 70% ครอบครัวไทยแตกแยกล้มเหลว ทุกองค์กรแตกแยกแบ่งฝ่าย ฯลฯ
ถามว่า กลุ่มทักษิณแดง มีปัญญาในการคิดแก้เหตุวิกฤตชาติไหม ตอบว่าไม่มีปัญญา กลุ่มนี้เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง และจะนำพาประเทศชาติไปสู่สาธารณรัฐ
ถามว่า รัฐบาลนี้นำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีปัญญาไหมคิดแก้เหตุวิกฤตชาติไหม ตอบว่า รัฐบาลนี้กำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ บอกได้เลยว่ายังไม่เห็นร่องรอย น่าจะไม่มีปัญญาคิดแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เพราะยังหลงผิดใน 6 ประการข้างต้น เห็นได้จากหลงทิศ หลงทาง ยังคิดแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นอยู่เช่นเดิม
ทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่มพลังทางการเมืองต่างๆ ต่างก็อวดอ้างเพื่อประชาธิปไตย แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า พวกเขาไม่รู้ว่าระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ที่พูดเช่นนี้ เพราะยังไม่เห็นกลุ่มการเมืองไหนเสนอหลักการปกครอง เชิดชูหลักการปกครอง หรือเห็นด้วยกับการปกครอง โดยธรรม ทั้งนี้ด้วยพวกเขามีความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิดและด้วยความยึดมั่นถือมั่นลัทธิการเมืองตะวันตกที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ อยู่นั่นเอง ขอให้พวกเราพิจารณากันให้รอบคอบเถิด
แนวทางแก้ไขสู่การเมืองใหม่ คือธรรมาธิปไตย เพื่อเชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมีปัญญาอันยิ่งใหญ่ รักชาติอันยิ่งใหญ่และความตั้งใจจริงอันยิ่งใหญ่
ก็ขอให้ทุกฝ่ายการเมือง ความสัมพันธ์สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ ใน 2 ลักษณะ อันเป็นลักษณะของพระธรรมจักร คือ
1) เอกภาพกับความแตกต่างหลากหลาย เช่น สภาวะนิพพาน ธรรมาธิปไตย เป็นด้านเอกภาพ รูปสังขาร จิตตสังขาร เป็นด้านแตกต่างหลักหลาย อสังขตธรรมเป็นด้านเอกภาพ สังขตธรรม เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย ก่อให้เกิดดุลยภาพ ดวงอาทิตย์ เป็นด้านเอกภาพ ดาวเคราะห์ เป็นด้านความแตกต่างหลากหลาย เป็นต้น
2) ด้านเอกภาพแผ่กระจายกับด้านความแตกต่างหลากหลายรวมศูนย์ มุ่งตรงต่อองค์เอกภาพ ก่อให้เกิดดุลยภาพ มั่นคง เป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ
ชาติ ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ แผ่โอบอุ้มปวงชนในชาติอันแตกต่างหลากหลาย ปวงชนทุกคนต้องพัฒนาตนเองเพื่อชาติ ก่อให้เกิดความเข้มแข็งและมั่นคง
ศาสนา ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางทางใจของศาสนิกชน และแผ่โอบอุ้มศาสนิกชน ศาสนิกชนต้องขึ้นตรงต่อสภาวะสูงสุดของศาสนา ก่อให้เกิดความเข้มแข็งและมั่นคง
พระมหากษัตริย์ ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ และแผ่พระเมตตาด้วยโครงการพระราชดำริ 3,000 กว่าโครงการ ทำให้ปวงชนในชาติ รัก เทิดทูน จงรักภักดีต่อพระองค์
หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ได้แก่ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ เป็นผู้นำและประมุขของประเทศ (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพเพื่อสร้างสรรค์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักเอกภาพ (8) หลักดุลยภาพ (9) หลักนิติธรรม หลักการปกครองโดยธรรมทั้ง 9 ย่อมเป็นเอกภาพและเป็นศูนย์กลางของรัฐธรรมนูญ คือหมวดและมาตราต่างๆ เป็นศูนย์กลางของกฎหมายทั้งหมดและเป็นศูนย์กลางของการปกครองทุกระดับ
เมื่อหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้รัฐบาลปกครองโดยธรรม เมื่อรัฐบาลปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การบริหารกระทรวง ทบวง กรมโดยธรรม ย่อมเป็นปัจจัยให้จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน วัด โรงเรียน ครอบครัว ฯลฯ ดำเนินไปในทิศทางที่ก้าวหน้าและมั่นคง
ดังกล่าวนี้ การปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุให้การปกครองและสังคมทุกระดับชั้นแผ่กระจายความถูกต้อง ความเป็นธรรมออกไปสู่ทุกส่วนที่เกี่ยวพันสัมพันธ์กันทั้งหมดทั้งประเทศ
พสกนิกรร่วมมือกันสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย โดยพระเจ้าแผ่นดิน คือการสร้างความยิ่งใหญ่ให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทุกองค์กรภายในชาติของเรา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ควรจะตริตรองให้รอบคอบ อย่ามัวหลงระเริงอยู่เลย ระวังจะเสียใจในภายหลัง (สมัครเรียน โรงเรียนผู้นำธรรมาธิปไตยแห่งชาติ แสดงเจตจำนง ส่ง อีเมลมาที่ p_ariya_@hotmail.com)