หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้สนทนากับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ผู้เขียนได้ยกคำพูดอันสำคัญยิ่งใหญ่ที่สุดของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ความตอนหนึ่งว่า “วันนี้เราเริ่มจาก ฐานที่มีอยู่แล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุด คือ เราจะต้องปกป้องต่อสู้และก็ยืนหยัดในอุดมการณ์ เสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ ทำงานเป็น ได้ดีแค่ไหน ตรงนั้นเป็นเรื่องที่น่าท้าทาย สำหรับผมแล้ว ผมมั่นใจในตัวผม แต่ผมมีหน้าที่ที่จะต้องสร้างบ้านเมืองให้แข็งแรง ให้คนในบ้านนี้มีอุดมการณ์เดียวกันหมด และก็จะต้องมีวินัย กติกาที่ชัดเจน พูดง่ายๆ ว่าจะต้องต่อสู้กับกิเลส จริงๆ แล้วพรรคการเมืองใหม่นั้นถ้าดูให้ดีๆ ก็คือ พรรคธรรมาธิปไตย นั่นเอง เอาธรรมนำหน้า ใครผิดธรรมเราก็ต้องจัดการ ที่สำคัญที่สุด คือ เราต้องมั่นใจว่าหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ต้องไม่ผิดธรรม”
เราจะนำท่านเข้าสู่สภาวะธรรมาธิปไตย ที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษยชาติทุกคน พระผู้รู้ในพุทธศาสนา สอนว่า “การวิปัสสนา ย่อมเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งขันธ์ 5 และกฎธรรมชาติอย่างแท้จริงแล้ว จะก่อให้เกิดปัญญาสำคัญคือเห็นสัมพันธภาพของกฎธรรมชาติ ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม” (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) กับสภาวะสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัง: แปลว่า ปรุง ร่วม ประชุม พร้อม ผสม ขต หรือ ขร: แปลว่า สิ้นไป)
อีกนัยหนึ่งเป็นปัญญาอันสำคัญคือ เห็นเป็นสัมพันธภาพระหว่างลักษณะเอกภาพกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย โดยเราจะได้พิจารณาไปพร้อมๆ กัน
ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ ได้แก่ รูป หรือ กาย ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะแตกต่างหลากหลาย
นาม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นปัจจัยให้มีการปรุงแต่งทางจิตเป็นอกุศล เป็นความกลัว, โลภ,โกรธ, หลง ตั้งแต่ทำลายตนเอง กระทบถึงคนอื่นนับแต่ครอบครัว จนถึงระดับโลก ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะแตกต่างหลากหลาย ทั้งในทางกุศลแก่ตน และเพื่อคนอื่นนับแต่ครอบครัวจนถึงระดับชาติ ระดับโลก ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะแตกต่างหลากหลาย เช่นกัน เราจะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นรูป ทั้งที่เป็นอกุศลและกุศล หรือสภาพกลางๆ ล้วนเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลางและดับไปในที่สุด เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดุจน้ำตกที่ไหลบ่าจากบนลงสู่ล่าง
จะเห็นว่าไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย เป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งสภาพธรรมทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่มาปรุงแต่ง, ประชุมกันเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวน สลายไป ไม่มีอะไรที่จะให้ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงอย่างนี้ อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวง อิสระจากสังขารทั้งปวง ดุจน้ำบนใบบัว ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา รู้เห็นสภาวะอีกด้านหนึ่งที่ดำรงอยู่อย่างไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นสภาพอมตะธรรม อันเป็นสภาวะที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ คือ สภาวะอสังขตธรรมนั่นเองหรือนัยหนึ่ง คือ สภาวะธรรมาธิปไตย มีลักษณะเอกภาพนั่นเอง
ปัญญาอันสำคัญ ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมดำรงอยู่ทั้งองค์รวมบนสัมพันธภาพระหว่างเอกภาพเอกภาพกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย หรือลักษณะ พระธรรมจักร นั่นเอง
พิจารณากฎธรรมชาติ จะพบว่าสภาวะสังขตธรรม ได้แก่สิ่งไม่มีชีวิต, สิ่งมีชีวิตได้แก่พืช และสัตว์ ต่างก็มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย และที่ดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีสภาวะอสังขตธรรมอันเป็นลักษณะเอกภาพมีลักษณะแผ่โอบอุ้มเชื่อมโยงสรรพสิ่งทั้งปวง และกำหนดให้สิ่งมีชีวิต และสัตว์ทั้งปวง วิวัฒนาการแบบเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปอย่างเป็นระบบใน 2 ลักษณะ คือ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดดเรื่อยไป จากสัตว์เซลล์เดียวในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดจนถึงสภาวะพระอรหันต์ เข้าถึงสภาวะนิพพาน (ธรรมาธิปไตย) อันเป็นสภาวะอสังขตธรรม นั่นเอง
แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วขันธ์ 5 และกฎธรรมชาติ เป็นสิ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ภายใต้กฎเดียวกัน การรู้แจ้งความจริงขันธ์ 5 จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ ดำรงอยู่บนสัมพันธภาพระหว่างเอกภาพ หรือลักษณะเป็นศูนย์กลางกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย และลักษณะแตกต่างหลากหลายต้องขึ้นต่อลักษณะเอกภาพหรือศูนย์กลางเสมอไป จึงมีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน
สมดังอุทานธรรมที่ว่า “ภูเขายังตั้ง ตะวันยังฉาย ธรรมาธิปไตยไม่สลายจากใจมนุษยชาติ” สภาวะกลัว โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ ฯลฯ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วต้องสลายไป แต่สภาวะธรรมาธิปไตย ไม่สลายจากใจคน เพราะเป็นสภาวะบริสุทธิ์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่สลาย เป็นอมตะธรรม เป็นสภาวะสันติแท้ อันเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ทั้งสองมิติอื่นๆ ดังกล่าวจะพบได้ว่ามีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ บนความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย พร้อมทั้งประยุกต์ ให้ถูกต้อง สอดคล้องโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่สู่ธรรมาธิปไตยเพื่อมนุษยชาติ ดังภาพ
จากปัญญาดังกล่าวนี้ ถ้าท่านทั้งหลายได้ทำความเข้าใจแล้ว จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์การ, องค์กร, หน่วยงานต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัดกาล ครอบครัว, วัด, บริษัท, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด, ประเทศ, ศาสนา, โลก, ดังได้กล่าวในเบื้องต้นแล้วว่าความแตกต่างหลากหลายต้องขึ้นต่อด้านองค์เอกภาพเสมอไป หรือองค์เอกภาพแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด แผ่กับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพ ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับกฎธรรมชาติ เมื่อมองภาพรวมทุกมิติจะเห็นเป็นลักษณะพระธรรมจักร เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก จะเขียนภาพ เพื่อประกอบความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้ วงกลม เป็นสัญลักษณ์ด้านเอกภาพ แผ่รัศมีโอบอุ้มด้านความแตกต่างหลากหลาย หรือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ส่วน ลูกศร เป็นสัญลักษณ์ด้านความแตกต่างหลากหลายมุ่งตรงสู่องค์เอกภาพ
สัมพันธภาพในมิติต่างๆ ดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า เราดำเนินการใดๆ ให้ถูกต้องโดยธรรมจะก่อให้เกิด การดำรงอยู่อย่างก้าวหน้า มั่นคง ยั่งยืน เช่นเดียวกับกฎธรรมชาติ ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานเป็นล้านๆ ปีมาแล้ว และแสดงให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
อนึ่ง หากว่าถ้า ด้านเอกภาพไม่ดีหรือไม่มี ทำให้ด้านความแตกต่างหลากหลายที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดนั้นจะพลอยเลวร้ายไปด้วย เช่น เมื่อกิเลสครอบงำจิต กาย วาจา ก็จะไม่ดีไปด้วย ดวงอาทิตย์พินาศดาวเคราะห์ก็พินาศด้วย
ระบอบการเมืองเลว ย่อมแผ่ความเลว, ความไม่เป็นธรรมออกไปสู่ปวงชนในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในประเทศ เราก็พินาศกันทั้งแผ่นดินต่อหน้าต่อตามิใช่หรือ
ใครคิดแก้ปัญหาประเทศที่ปลายเหตุ นอกจากจะแก้ปัญหาทั้งปวงเหล่านั้นไม่ได้แล้ว จะกลับเพิ่มภัยร้ายมาสู่ประเทศชาติและประชาชนมากยิ่งขึ้น เตือนแนะนำรัฐบาลมามากแล้ว
สัมพันธภาพในลักษณะธรรมาธิปไตย เป็นปัญญาอันยิ่งใหญ่ของชาวไทย เป็นองค์ความรู้ใหม่ของโลกยุคสมัยใหม่ ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งหลาย พึงนำไปศึกษาปฏิบัติ สัมมนา วิจัย ทำให้เกิดความกระจ่างเถิด ทั้งเป็นการเทิดพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและมนุษยชาติทั้งปวง อันหาที่สุดมิได้ เป็นสามัคคีธรรม ความแข็งแกร่ง ความก้าวหน้า ความมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของชาติ เป็นปัญญาอันแท้อันเกิดจากรากฐานของชาติ เหนือทฤษฎีใดๆ ทั้งปวง
สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า “...ภารกิจของเราเดินหน้าสู้ในทางปัญญา ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นอยู่เรื่องเดียว คือ ถ้าเราให้ปัญญากับมวลชน ให้ปัญญากับสังคมแล้วสังคมจะไปรอด ...นักการเมืองที่เข้ามาร่วมพรรคการเมืองใหม่ต้องรู้ว่าการเมืองใหม่ คือ เราต้องเชื่อว่าเราเสียสละ เราซื่อสัตย์ เรากล้าหาญ เราทำงานเป็น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เราคิดเองนะ แต่เป็น จิต มโน วิญญาณ ที่เราต้องรับต่อเนื่องมา และเราต้องรับตรงนี้เอาไว้ นี่คืออุดมการณ์และความมุ่งมั่นของพรรคฯ”
เราจะนำท่านเข้าสู่สภาวะธรรมาธิปไตย ที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษยชาติทุกคน พระผู้รู้ในพุทธศาสนา สอนว่า “การวิปัสสนา ย่อมเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งขันธ์ 5 และกฎธรรมชาติอย่างแท้จริงแล้ว จะก่อให้เกิดปัญญาสำคัญคือเห็นสัมพันธภาพของกฎธรรมชาติ ระหว่างสภาวะอสังขตธรรม” (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) กับสภาวะสังขตธรรม (ธรรมที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัง: แปลว่า ปรุง ร่วม ประชุม พร้อม ผสม ขต หรือ ขร: แปลว่า สิ้นไป)
อีกนัยหนึ่งเป็นปัญญาอันสำคัญคือ เห็นเป็นสัมพันธภาพระหว่างลักษณะเอกภาพกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย โดยเราจะได้พิจารณาไปพร้อมๆ กัน
ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ ได้แก่ รูป หรือ กาย ประกอบด้วยธาตุ 4 คือ ธาตุดิน, น้ำ, ลม, ไฟ แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะแตกต่างหลากหลาย
นาม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นปัจจัยให้มีการปรุงแต่งทางจิตเป็นอกุศล เป็นความกลัว, โลภ,โกรธ, หลง ตั้งแต่ทำลายตนเอง กระทบถึงคนอื่นนับแต่ครอบครัว จนถึงระดับโลก ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะแตกต่างหลากหลาย ทั้งในทางกุศลแก่ตน และเพื่อคนอื่นนับแต่ครอบครัวจนถึงระดับชาติ ระดับโลก ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นลักษณะแตกต่างหลากหลาย เช่นกัน เราจะเกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นทั้งที่เป็นรูป ทั้งที่เป็นอกุศลและกุศล หรือสภาพกลางๆ ล้วนเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนในท่ามกลางและดับไปในที่สุด เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดุจน้ำตกที่ไหลบ่าจากบนลงสู่ล่าง
จะเห็นว่าไม่มีตัวตนที่จะยึดมั่นถือมั่นได้เลย เป็นเพียงปรากฏการณ์แห่งสภาพธรรมทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่มาปรุงแต่ง, ประชุมกันเกิดขึ้นแล้วก็แปรปรวน สลายไป ไม่มีอะไรที่จะให้ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริงอย่างนี้ อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนไม่ยึดมั่นถือมั่นในสังขารทั้งปวง อิสระจากสังขารทั้งปวง ดุจน้ำบนใบบัว ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา รู้เห็นสภาวะอีกด้านหนึ่งที่ดำรงอยู่อย่างไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เป็นสภาพอมตะธรรม อันเป็นสภาวะที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ คือ สภาวะอสังขตธรรมนั่นเองหรือนัยหนึ่ง คือ สภาวะธรรมาธิปไตย มีลักษณะเอกภาพนั่นเอง
ปัญญาอันสำคัญ ทำให้รู้แจ้งสภาพธรรมดำรงอยู่ทั้งองค์รวมบนสัมพันธภาพระหว่างเอกภาพเอกภาพกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย หรือลักษณะ พระธรรมจักร นั่นเอง
พิจารณากฎธรรมชาติ จะพบว่าสภาวะสังขตธรรม ได้แก่สิ่งไม่มีชีวิต, สิ่งมีชีวิตได้แก่พืช และสัตว์ ต่างก็มีลักษณะแตกต่างหลากหลาย และที่ดำรงอยู่ได้ก็เพราะมีสภาวะอสังขตธรรมอันเป็นลักษณะเอกภาพมีลักษณะแผ่โอบอุ้มเชื่อมโยงสรรพสิ่งทั้งปวง และกำหนดให้สิ่งมีชีวิต และสัตว์ทั้งปวง วิวัฒนาการแบบเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปอย่างเป็นระบบใน 2 ลักษณะ คือ อย่างค่อยเป็นค่อยไป และก้าวกระโดดเรื่อยไป จากสัตว์เซลล์เดียวในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดจนถึงสภาวะพระอรหันต์ เข้าถึงสภาวะนิพพาน (ธรรมาธิปไตย) อันเป็นสภาวะอสังขตธรรม นั่นเอง
แสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้วขันธ์ 5 และกฎธรรมชาติ เป็นสิ่งเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ภายใต้กฎเดียวกัน การรู้แจ้งความจริงขันธ์ 5 จะเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งกฎธรรมชาติ ดำรงอยู่บนสัมพันธภาพระหว่างเอกภาพ หรือลักษณะเป็นศูนย์กลางกับลักษณะแตกต่างหลากหลาย และลักษณะแตกต่างหลากหลายต้องขึ้นต่อลักษณะเอกภาพหรือศูนย์กลางเสมอไป จึงมีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน
สมดังอุทานธรรมที่ว่า “ภูเขายังตั้ง ตะวันยังฉาย ธรรมาธิปไตยไม่สลายจากใจมนุษยชาติ” สภาวะกลัว โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ ฯลฯ เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วต้องสลายไป แต่สภาวะธรรมาธิปไตย ไม่สลายจากใจคน เพราะเป็นสภาวะบริสุทธิ์ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่สลาย เป็นอมตะธรรม เป็นสภาวะสันติแท้ อันเป็นพื้นฐานแห่งจิตใจของมนุษยชาติอย่างแท้จริง
ทั้งสองมิติอื่นๆ ดังกล่าวจะพบได้ว่ามีลักษณะพระธรรมจักรเช่นเดียวกัน ตั้งอยู่ ดำรงอยู่ บนความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย พร้อมทั้งประยุกต์ ให้ถูกต้อง สอดคล้องโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่สู่ธรรมาธิปไตยเพื่อมนุษยชาติ ดังภาพ
จากปัญญาดังกล่าวนี้ ถ้าท่านทั้งหลายได้ทำความเข้าใจแล้ว จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับองค์การ, องค์กร, หน่วยงานต่างๆ ได้อย่างไม่จำกัดกาล ครอบครัว, วัด, บริษัท, โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, หมู่บ้าน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด, ประเทศ, ศาสนา, โลก, ดังได้กล่าวในเบื้องต้นแล้วว่าความแตกต่างหลากหลายต้องขึ้นต่อด้านองค์เอกภาพเสมอไป หรือองค์เอกภาพแผ่ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด แผ่กับรวมศูนย์ เป็นปัจจัยให้เกิดดุลยภาพ ดำรงอยู่อย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับกฎธรรมชาติ เมื่อมองภาพรวมทุกมิติจะเห็นเป็นลักษณะพระธรรมจักร เป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก จะเขียนภาพ เพื่อประกอบความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้ วงกลม เป็นสัญลักษณ์ด้านเอกภาพ แผ่รัศมีโอบอุ้มด้านความแตกต่างหลากหลาย หรือส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ส่วน ลูกศร เป็นสัญลักษณ์ด้านความแตกต่างหลากหลายมุ่งตรงสู่องค์เอกภาพ
สัมพันธภาพในมิติต่างๆ ดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า เราดำเนินการใดๆ ให้ถูกต้องโดยธรรมจะก่อให้เกิด การดำรงอยู่อย่างก้าวหน้า มั่นคง ยั่งยืน เช่นเดียวกับกฎธรรมชาติ ที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานเป็นล้านๆ ปีมาแล้ว และแสดงให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนสัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
อนึ่ง หากว่าถ้า ด้านเอกภาพไม่ดีหรือไม่มี ทำให้ด้านความแตกต่างหลากหลายที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดนั้นจะพลอยเลวร้ายไปด้วย เช่น เมื่อกิเลสครอบงำจิต กาย วาจา ก็จะไม่ดีไปด้วย ดวงอาทิตย์พินาศดาวเคราะห์ก็พินาศด้วย
ระบอบการเมืองเลว ย่อมแผ่ความเลว, ความไม่เป็นธรรมออกไปสู่ปวงชนในส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในประเทศ เราก็พินาศกันทั้งแผ่นดินต่อหน้าต่อตามิใช่หรือ
ใครคิดแก้ปัญหาประเทศที่ปลายเหตุ นอกจากจะแก้ปัญหาทั้งปวงเหล่านั้นไม่ได้แล้ว จะกลับเพิ่มภัยร้ายมาสู่ประเทศชาติและประชาชนมากยิ่งขึ้น เตือนแนะนำรัฐบาลมามากแล้ว
สัมพันธภาพในลักษณะธรรมาธิปไตย เป็นปัญญาอันยิ่งใหญ่ของชาวไทย เป็นองค์ความรู้ใหม่ของโลกยุคสมัยใหม่ ผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งหลาย พึงนำไปศึกษาปฏิบัติ สัมมนา วิจัย ทำให้เกิดความกระจ่างเถิด ทั้งเป็นการเทิดพระเกียรติแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติและมนุษยชาติทั้งปวง อันหาที่สุดมิได้ เป็นสามัคคีธรรม ความแข็งแกร่ง ความก้าวหน้า ความมั่นคงอันยิ่งใหญ่ของชาติ เป็นปัญญาอันแท้อันเกิดจากรากฐานของชาติ เหนือทฤษฎีใดๆ ทั้งปวง
สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า “...ภารกิจของเราเดินหน้าสู้ในทางปัญญา ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นอยู่เรื่องเดียว คือ ถ้าเราให้ปัญญากับมวลชน ให้ปัญญากับสังคมแล้วสังคมจะไปรอด ...นักการเมืองที่เข้ามาร่วมพรรคการเมืองใหม่ต้องรู้ว่าการเมืองใหม่ คือ เราต้องเชื่อว่าเราเสียสละ เราซื่อสัตย์ เรากล้าหาญ เราทำงานเป็น ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เราคิดเองนะ แต่เป็น จิต มโน วิญญาณ ที่เราต้องรับต่อเนื่องมา และเราต้องรับตรงนี้เอาไว้ นี่คืออุดมการณ์และความมุ่งมั่นของพรรคฯ”