xs
xsm
sm
md
lg

เอาอย่างนี้ดีไหมท่านนายกฯ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าของการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็น ที่คณะกรรมการสมานฉันท์ร่วมเสนอเพื่อขอให้เร่งแก้ไขว่า “เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะถือเป็นแนวทางสำคัญ ที่จะทำให้การแก้ไขเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในหมู่ของพรรคการเมืองรวมทั้งสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในประเทศ รวมทั้งมติดังกล่าวประชาชนต้องเห็นด้วย ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดคือต้องเสนอให้ทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วม ประเทศเกิดความสามัคคีโดยเร็วที่สุด”

ผู้เขียนขอเตือนและแนะนำนายกฯ ด้วยใจจริง
ว่าแนวคิดของท่านนายกฯ นั้น ท่านกำลังหลงทาง ตามแนวทางและการดำเนินการคณะกรรมการสมานฉันท์ นั้นแนวทางที่เห็นผิด แม้จะเป็นข้อคิดแนวทางจากคณะกรรมการหลายท่านก็จริงอยู่ แต่เป็นคณะกรรมการที่เห็นผิด คิดผิด และทำผิด ทำร้ายและซ้ำเติมประเทศชาติและประชาชน ให้หลงทางต่อไปหนักขึ้นกว่าเดิมอีก การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 6 ประเด็นนั้น เป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีความบกพร่องเป็นมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรงอยู่แล้ว กล่าวคือสภาพของความเป็นจริงในเรื่องของการจัดความสัมพันธ์ในองค์ประกอบของรัฐธรรมนูญ อันเป็น รัฐธรรมนูญที่ไม่มีระบอบฯ (Regime) หรือไม่มีหลักการปกครอง (Principle of Government) มีแต่วิธีเพียงวิธีการปกครอง (Methods of Government) เพียงด้านเดียว ดังได้กล่าวอยู่เสมอว่า รัฐธรรมนูญไทยเรานั้น อุปมาดุจดัง...

ระบบสุริยจักรวาล ขาดดวงอาทิตย์ มันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร

เซลล์ไม่มีนิวเครียส มันจะดำรงอยู่ได้อย่างไร

มนุษย์ที่ไม่มีจิตเดิมแท้ (จิตบริสุทธิ์เป็นรากฐานที่แท้จริงของมนุษย์ หรือสภาวะธรรมาธิปไตยในจิตใจ มันจะดำรงอยู่ไม่ได้ ดุจดังคนวิกลจริต)

มีแต่เพียงยุทธวิธีเพียงด้านโดยไม่มียุทธศาสตร์ มันทำอะไรไม่ได้เลย

มีแต่เพียงวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย แต่ไม่มีจุดมุ่งหมาย มันจะทำอะไรไม่ได้เลย

ฉันใดก็ฉันนั้น การที่รัฐธรรมนูญ ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีระบอบฯ โดยธรรม มันก็ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่มันจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างภายในชาติของเรา ผู้ไร้ปัญญาหาได้มองเห็นภัยอันร้ายแรงอันใหญ่หลวงนี้ไม่ ที่มันครอบงำทำลายประเทศไทยเราอยู่

เมื่อนำรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐินี้มาใช้ มันก็จะทำลายศักดิ์ศรีผู้ปกครองให้กลายเป็นคนโง่เขลาปกครองประเทศ และถูกทำลายทางการเมืองให้กลายเป็นคณะพรรค หรือคณะนักการเมืองอุบาทว์ ที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว เป็นที่รังเกียจของประชาชน ผู้ปกครองจะมีแต่ความขัดแย้งกันและกัน ต่างทำลายล้างซึ่งกันนับแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก จนถึงฉบับปัจจุบัน

มันจะทำลายประเทศชาติให้ล้าหลัง ย่อยยับ หายนะเพราะยืนอยู่บนฐานแห่งความไม่ถูกต้อง ทำลายศักยภาพของชาติ ทำลายโอกาสของชาติให้ย่อยยับเกินกว่าที่จะกล่าวในที่นี้

มันจะทำลายสถาบันหลักของชาติให้เสื่อมลงๆ แม้จะทำความดีมากมายมหาศาลเพียงใด ก็จะกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ยิ่งทำยิ่งแย่ ยิ่งทำยิ่งทรุด

มันจะทำลายประชาชนให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยก สับสนวุ่นวายในทุกหน่วยของสังคม เช่น ครอบครัว โรงเรียน วัด บริษัท มหาวิทยาลัย ทุกองค์กรภายในชาติที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ดังนี้แล้ว ประเทศชาติของเราจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนเป็นที่ประจักษ์ แก่ท่านผู้อ่านทุกคนอยู่แล้ว

รัฐธรรมนูญไทย เป็นมิจฉาทิฐิ เป็นมาอย่างนี้ทั้ง 18 ฉบับ รวมทั้งฉบับปัจจุบัน เราไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่จัดความสัมพันธ์ได้ถูกต้องเลยแม้แต่ฉบับเดียว ดังได้กล่าวมาแล้วเป็นลำดับ

ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 6 ประเด็นของรัฐบาล แทนที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ กลับกลายเป็นประโยชน์ตามจุดยืนของคณะนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรงเพียงส่วนเดียว แต่เป็นการทำร้ายทำลายประเทศชาติและประชาชนให้ย่ำแย่ลงไปอีก ตามที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น “รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครอง ย่อมมีความบกพร่องอย่างร้ายแรง เมื่อกลับไปแก้ไข ก็ยิ่งบกพร่องมากขึ้นๆ และมากขึ้นนั่นเอง ยิ่งแก้ไข ยิ่งหลงทาง มืดหนักกว่าเดิมอีก”

ท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ท่านเอาอย่างนี้ดีไหม

ด้วยปัญญาอย่างยิ่งใหญ่ คือสัจธรรม จากกฎธรรมชาติ 2 มิติ 2 ลักษณะ คือ

1. สัมพันธภาพระหว่างด้านเอกภาพ (General) กับด้านความแตกต่างหลากหลาย (Individual) หรือจะเรียกว่า เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะ (Unity of diversity) ก็ได้

2. ด้านเอกภาพ มีลักษณะแผ่กระจาย ครอบคลุมส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวกันทั้งหมด ขณะเดียวกันด้านแตกต่างหลากหลายต่างก็ต้องขึ้นต่อด้านเอกภาพ จึงก่อเกิดให้ดุลยภาพดำรงอยู่ได้ทั้งลักษณะถาวร และชั่วคราวตามเหตุปัจจัยของสิ่งนั้นๆ และมีความถูกต้องเสมอไป

ดวงอาทิตย์ ย่อมเป็นศูนย์กลางระบบสุริยจักรวาล ด้วยพลังอำนาจแผ่ครอบคลุมดาวเคราะห์ทั้งหมด ขณะเดียวกันดาวเคราะห์ขึ้นต่อดวงอาทิตย์ จึงก่อเกิดดำรงอยู่ได้อย่างดุลยภาพ

นิวเครียสเป็นศูนย์กลางของโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน เซลล์ทั้งปวง มันจึงดำรงอยู่ได้

เพราะมนุษย์มีจิตเดิมแท้ (โดยธรรมชาติ จิตบริสุทธิ์เป็นรากฐานที่แท้จริงของมนุษย์ หรือสภาวะธรรมาธิปไตยในจิตใจ) ย่อมเป็นศูนย์กลางของกายสังขาร และจิตตสังขาร อันแตกต่างหลากหลาย มนุษย์จึงดำรงอยู่ได้ หากใครตั้งใจจริง ก็สามารถรู้ได้ สัมผัสได้ด้วยการวิปัสสนา จิตตสังขาร เช่น กลัว โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ เกิดแล้วย่อมสลายไป เกิดขึ้นเท่าไหร่ก็สลายไปเท่านั้น ส่วนใจบริสุทธิ์ หรือธรรมาธิปไตย ย่อมไม่สลายจากใจมนุษยชาติ

ยุทธศาสตร์ ย่อมเป็นศูนย์กลางของยุทธวิธีต่างๆ อันหลากหลาย การทำการใดๆ ในสิ่งนั้นๆ ย่อมสำเร็จ

หลักการ ย่อมเป็นศูนย์กลางของวิธีการอันหลากหลาย การกระทำการใด ก็ย่อมประสบความสำเร็จ

จุดมุ่งหมาย ย่อมเป็นศูนย์กลางของวิธีการอันหลากหลายเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย แต่หากว่าไม่มีจุดมุ่งหมาย มันจะทำอะไรไม่ได้เลย วนอยู่กับที่ ดังที่ว่า

เมื่อมีจุดหมาย (เอกภาพ) ย่อมมีหนทาง (อันหลากหลาย) เมื่อมีหนทาง ย่อมมีความก้าวหน้า เมื่อมีความก้าวหน้า สักวันหนึ่งจะถึงจุดมุ่งหมายความสำเร็จ

ในทางตรงกันข้าม หากไม่มีจุดหมาย ก็ย่อมไม่มีหนทาง (ลองพิสูจน์ดู) เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำ (ดุจดังเช่นรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ)

ฉันใดก็ฉันนั้น หากว่ารัฐธรรมนูญที่จัดความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องโดยธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันกับกฎธรรมชาติและชีวิต ย่อมเป็นความยิ่งใหญ่ของประเทศไทยเรา เป็นมิติแห่งความถูกต้องอันยิ่งใหญ่ประเทศแรกของโลก เราต้องร่วมมือกันผลักดันความถูกต้อง ผลักดันหลักการปกครองโดยธรรม เป็นศูนย์กลาง เป็นเอกภาพของหมวดและมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ

หากว่าท่านนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนแนวคิดเสียใหม่ โดยที่ท่านเสนอนโยบาย (Policy) ให้มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือมีระบอบฯ โดยธรรม ประเทศไทยเราก็จะดำรงอยู่ได้อย่างถูกต้องเข้มแข็ง จะก่อเกิดการสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างภายในชาติของเราเกินที่จะกล่าวได้ในที่นี้

เมื่อรัฐธรรมนูญใหม่มีสัมพันธภาพที่ถูกต้อง คือมีทั้งหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ และวิธีการนี้มาใช้ ย่อมเชิดชูเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของประเทศ ของสถาบันหลักของชาติ ของผู้ปกครอง ของนักการเมืองให้กลายเป็นผู้มีปัญญาปกครองประเทศ และได้รับการเชิดชูทางการเมือง เป็นคณะพรรค หรือคณะนักการเมืองที่รักชาติ เป็นที่รักของประชาชน ผู้ปกครองจะมีแต่ความรัก ร่วมมือเข้าใจกันและกัน หากมีความขัดแย้งกันในทางสร้างสรรค์และพัฒนา

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ มาจากรากฐานของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะเป็นเหตุก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า เพราะยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้อง ศักยภาพของชาติ โอกาสของชาติให้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะกล่าว

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ จะเป็นเหตุให้สถาบันหลักของชาติ มีศักยภาพ ทำความดีมากมายมหาศาล ยิ่งขึ้นๆ ไป ประชาชนเห็นความสำคัญยิ่งของสถาบันหลักของชาติ เชิดชูอย่างสูงส่ง และพิทักษ์รักษาไว้อย่างมั่นคง ประชาชนมีปัญญา รู้เท่าทันนักการเมือง

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 นี้ จะเป็นเหตุให้ประชาชนเกิดความรู้รักสามัคคีธรรม เกิดความร่วมมือร่วมใจในทุกหน่วยของสังคม เช่น สถาบันหลักของชาติ องค์กรทางการเมือง หน่วยงานราชการ ครอบครัว โรงเรียน วัด บริษัท มหาวิทยาลัย ทุกองค์กรภายในชาติที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด ขับเคลื่อนไปในทิศทางที่ก้าวหน้า มั่นคง

ดังนี้แล้ว ประเทศชาติของเราจะดำรงอยู่ได้เข้มแข็ง มั่นคง ก้าวหน้า ในทุกๆ ด้านของชาติ นี่คือการเมืองใหม่ที่แท้จริง ผู้ปัญญาย่อมมองเห็นหลักและวิธีการอันยิ่งใหญ่อย่างมั่นใจและจะเป็นศูนย์กลางของปัญญาชนในชาติ (หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หาอ่านได้ในบทความก่อนนี้)
กำลังโหลดความคิดเห็น