ในที่สุด ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะเจ้าของ คนเสื้อแดง และ พรรคเพื่อไทย ก็เป่านกหวีดส่งสัญญาณ “ถอย” สั่งเลื่อนการชุมนุมออกไปอย่างไม่มีกำหนด อ้างว่าเพื่อไม่ให้กระทบกันบรรยากาศ “มหามงคล” วันเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทำให้หลายฝ่ายโล่งอกไปได้พักหนึ่ง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นจริงอีกด้านหนึ่งจะพบว่าสาเหตุที่แท้จริงน่าจะมาจากเสียงก่นด่าที่ดังกระหึ่มจากรอบทิศทาง และนับวันจะดังกึกก้องขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นแรงกดดันอย่างหนักทำให้ต้องล่าถอยออกมาชั่วคราวก่อน
หลายฝ่ายมีการวิเคราะห์กันถึงสาเหตุที่คนเสื้อแดงเคยกำหนดนัดชุมนุม โดยดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน จนถึง 2 ธันวาคม พร้อมทั้งประกาศ “แตกหัก” ไม่ยอมให้รัฐบาลได้มีโอกาสได้ฉลองปีใหม่ จนสร้างความหวั่นวิตกกันไปทั่วว่างานนี้น่าจะมีรายการ “เลือดตกยางออก” กันแน่
เพราะหากพิจารณาจากองค์ประกอบอื่นๆบางอย่างที่เป็นตัวบังคับบีบคั้นให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเร่งปิดเกมให้เร็วที่สุดภายในสิ้นปีนี้
สังคมรับรู้แล้วว่า เขากำลังจะถูกพิพากษาคดีในข้อหาร่ำรวยผิดปกติซึ่งเงินสดจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทได้ถูกสั่งอายัดเอาไว้ และหากถูกตัดสินว่ามีความผิด เงินจำนวนดังกล่าวก็จะถูกยึดเข้าหลวงทันที เวลานี้คดีกำลังเดินหน้า คาดว่าไม่น่าจะเกินต้นปีหน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จะชี้ขาดแล้ว
ถ้าเปิดป๊อกเดียวจอด ก็ถือว่ายุ่งแน่ !!
ขณะเดียวกันหากพิจารณาถึงสถานะของ ทักษิณ นาทีนี้ถือว่าเป็นผู้ร้ายหนีคดีเต็มขั้นมีคดีติดตัวที่ค้างคาอยู่ในศาลอีกมากมายเกือบสิบคดี ทุกอย่างบีบคั้นเข้ามาหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“ทักษิณ” ดิ้นรน ชิงเมือง-คิดการใหญ่
แต่แทนที่จะยอมจำนน ตรงกันข้ามเขากลับดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่ด้วยฐานะที่ไม่ธรรมดา ยังมีทรัพย์สินอีกมหาศาลที่ยังรอดหูรอดตาสามารถจับจ่ายใช้สอยได้คล่องมือ มีเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศมากมาย ทำให้ยังมีโอกาสเพ้อฝัน “คิดการใหญ่” อีกรอบ
และคราวนี้อาจเลยเถิดถึงขนาดเข้าขั้นก่อสงคราม “ชิงเมือง-ยึดเมือง” กันเลยทีเดียว !!
อย่างไรก็ดีจะด้วยเป็นเพราะเดินเกมพลาด และ “หลุด” จนเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง หน้ากากถูกกระชากออกมาก่อนกำหนดโดยไม่ทันตั้งตัว ถูกชาวบ้านชี้หน้าด่าเป็น “ คนขายชาติ-ทำร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์” ทำให้ “กระแสตีกลับ” อย่างคาดไม่ถึง
ไม่น่าเชื่อว่าการรับตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนตัวให้กับผู้นำทรราช ฮุน เซน และที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลกัมพูชา ได้ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนกับตัวเขาอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะภาพที่เดินทางไปรับตำแหน่งถึงกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกได้ก่อให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังให้กับคนไทยเป็นจำนวนมาก
มิหนำซ้ำในเวลาไล่เลี่ยกัน เขาได้ทำให้คนไทยทุกคนเกิดอาการช็อก เมื่อไปให้สัมภาษณ์ยาวเหยียดกับ “ไทมส์ ออนไลน์” จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงวิจารณ์การสืบสันตติวงศ์อย่างที่ไม่เคยมีคนไทยบังอาจกล้าทำแบบนี้มาก่อน
เจอทั้งสองเรื่องแบบคอขาดบาดตายประดังเข้ามาพร้อมกันเป็นสองแรงบวก ก็ทำให้ ทักษิณ แทบจะไปไม่เป็น แต่อย่างที่ระบุเอาไว้ตั้งแต่ต้นก็คือ เขามีข้อจำกัดในเรื่องเวลา นั่นคือคดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านกำลังงวดเข้ามาทุกขณะ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องดิ้นรนเดินหน้า เพื่อให้รอดพ้นจากคดี และที่สำคัญก็คือต้องการทวงคืนทรัพย์สินกลับคืนมา และคราวนี้จะต้องไปไกลกว่านั้นคือ ต้องกลับมามีอำนาจ หรือเป็นผู้กำหนดเกมอีกรอบ
เน้นเป้าหมายไม่คำนึงถึงวิธีการ
อย่างไรก็ตามเพื่อไปถึงเป้าหมายมันก็ย่อมทำได้ทุกวิถีทาง โดยไม่จำเป็นต้องเลือกวิธีการ ทำได้แม้กระทั่งวิธีบนดินและใต้ดิน หรือแม้กระทั่งใช้กองกำลังต่างชาติเข้ามาผสมโรง แม้ว่าหากพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาอาจยังไม่ปรากฎภาพให้เห็นได้ชัดเจนนัก แต่หากแกะรอย และย้อนกลับไปดูพฤติกรรมเก่าๆตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน รับรองว่ามีความเป็นไปได้สูง
พฤติกรรมชอบใช้อำนาจ ที่สังเกตเห็นตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นผู้นำประเทศบริหารงานแบบรัฐตำรวจ มีการข่มขู่คุกคาม จนเกิดการอุ้มฆ่า ฆ่าตัดตอน ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง ทำได้ทุกอย่างเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองต้องการ และล่าสุดมีกลุ่มบุคคลที่มีภาพลักษณ์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องงานใต้ดิน ติดอาวุธ รวมไปถึงงานวางแผนด้านยุทธศาสตร์มวลชนกลับมาอยู่ข้างกายเต็มพรึบไปหมด อย่าง เช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ปัจจุบันรับตำแหน่งเป็นประธานพรรคเพื่อไทย และก่อนหน้านี้ก็ทำหน้าที่เบิกทางจนสร้างความปั่นป่วนให้กับความสัมพันธ์ระหว่าง ไทย-กัมพูชา อย่างได้ผลมาแล้ว
หรือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นายทหาร จปร.7 ที่เชี่ยวชาญในด้านของอาวุธล่าสังหาร และผ่านสมรภูมิเลือดมาอย่างโชกโชน รวมไปถึง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ “เสธ.แดง” ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกที่ระยะหลังมีความแนบแน่นเป็นพิเศษกับคนเสื้อแดง เพราะก่อนหน้านี้ยังทำหน้าที่เป็นครูฝึกให้กับกลุ่มติดอาวุธของกลุ่มนปช. จนมีการจัดตั้งชื่อเรียกว่า “นักรบพระเจ้าตาก” มีการฝึกฝนอย่างเปิดเผยกลางท้องสนามหลวงมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน สมัยที่ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่รัฐบาล “หุ่นเชิด” ของระบอบทักษิณ และครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือนกันยายน 2551 ก็มีกลุ่มคนเสื้อแดงติดอาวุธยกขบวนมาทำร้ายกลุ่มพันธมิตรฯทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และเป็นสาเหตุให้ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นประกาศภาวะฉุกเฉิน
ล่าสุดยังมีภาพฟ้องหราว่าเดินทางไปสัมผัสมืออย่างนอบน้อมกับ ทักษิณ-ฮุนเซน ที่กรุงพนมเปญมาแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเครือข่าย ตท.10 เพื่อนร่วมรุ่น ที่เคยมีบทบาทกระจายอยู่ในกองทัพจำนวนหลายสิบคนตบเท้าเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย จึงถูกมองว่า “ไม่ธรรมดา” แน่นอน
“ฮุนเซนโมเดล” ต่างด้าวผสมโรงป่วน
และเมื่อมีเสียงเตือนอย่างแข็งกร้าวออกมาจากฝ่ายความมั่นคง คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาเตือนถึงการร่วมชุมนุมของ “คนต่างด้าว” โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย และพุ่งเป้าไปที่แรงงาน “เขมร” อย่างผิดสังเกต พร้อมทั้งมีการคาดโทษเจ้าของโรงงานห้ามขนแรงงานต่างด้าวเข้าร่วมม็อบอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้ทำให้ต้องหลับตานึกเห็นภาพบางอย่างซ้อนขึ้นมาว่าทำไมต้องเป็นแรงงานเขมร และหากย้อนกลับไปดูภาพที่กอดกันกลมระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับ ฮุนเซน กลางกรุงพนมเปญทำให้ทุกอย่างเริ่มเข้าเค้า ทำให้เกิดอาการ “ขนหัวลุก” ขึ้นมาทันใด
โดยเฉพาะ “ฮุนเซนโมเดล” ที่มีการกล่าวถึงใช่หรือไม่ !!
เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูเส้นทางแห่งอำนาจของ ฮุนเซน ที่ก่อนจะมาถึงวันนี้เขาเคยเป็นนักรบเขมรแดงมาก่อน แต่ด้วยนิสัยที่ใจถึงกล้าได้กล้าเสียใช้เล่ห์เหลี่ยมสารพัดจนไต่เต้าขึ้นมาเป็นระดับผู้คุมกำลังระดับกลาง จนกระทั่งหันไปสมคบกับกองกำลังเวียดนามเข้ามาบุกยึดกรุงพนมเปญและสามารถโค่นล้มเขมรแดงออกไปได้สำเร็จเมื่อปี 2522 ทำให้ตัวเองมีอำนาจและเติบโตคับกัมพูชาคุมอำนาจในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จจนทุกวันนี้
พาวเวอร์ของผู้นำกัมพูชามีอย่างไร้ขีดจำกัดแม้กระทั่งทำให้กษัตริย์กัมพูชาทุกวันนี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบฮุนเซนเท่านั้น
ขณะที่หันมาพิจารณาทางด้าน ทักษิณ ชินวัตร บ้าง หากย้อนกลับไปดูบทบาทที่โลดโผนก็ถือว่าไม่แพ้กัน เพราะก่อนหน้านี้เมื่อราวปี 2536-37 เมื่อครั้งที่เข้าไปทำธุรกิจด้านโทรคมนาคมในกัมพูชาในชื่อ “ไอบีซีแคมโบเดีย” ได้เคยถูก ฮุนเซน “เพื่อนซี้” คนนี้แหละหักหลังลดอายุสัมปทานจากเดิม 99 ปี ลงเหลือ 30 ปี และเปิดให้บริษัทต่างชาติเข้าไปแข่งขัน จนสร้างความไม่พอใจแล้วนำไปสู่ข้อกล่าวหาที่ว่าเขาได้ว่าจ้างกองกำลังติดอาวุธที่นำโดย นายพลสินสอง ของกัมพูชาก่อการรัฐประหาร โดยมีกำลังสมทบจากไทยที่มีอดีต ส.ส.พิจิตร พรรคความหวังใหม่ คือ พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเสรฐ เข้าไปร่วมก่อการด้วย แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะตัวละครก็ยังเป็นคนเดิม เพียงแต่ว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นตรงกันข้าม จนอาจกลายเป็น “ฮุนเซนโมเดล” ที่ ทักษิณ อาจต้องนำมาใช้ในเกมช่วงชิงอำนาจและทวงคืนทรัพย์สินกลับคืนมา
กระแสสังคมตีกลับ-พลังฝ่อ
อย่างไรก็ตามจะด้วยเป็นเพราะความจริงที่ถูกเปิดเผยออกมาก่อน หรือถูกกระชากหน้ากากออกมาจากกรณีขายชาติ-จาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัวทำให้เกิดความชิงชังไปทั่วแผ่นดิน “พลังเริ่มฝ่อ” ก่อนถึงเวลาออกปฏิบัติการจริง แต่ถึงอย่างไรเมื่อเวลาไล่หลังก็ต้องกัดฟันเดินหน้า
ขณะที่หลายฝ่ายก็ย่อมมองออกเช่นเดียวกัน และประเมินในทางเดียวกันว่า การชุมนุมที่กำหนดไว้แต่เดิมก็คือ วันที่ 28 พ.ย.ถึง 2 ธ.ค.จะต้อง “แตกหัก” แน่นอน และที่สำคัญก็คือจะต้องมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วน โดยเฉพาะการลอบสังหาร ลอบทำร้ายบุคคลสำคัญ
ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมีรายงานความเคลื่อนไหวว่าเป้าหมายจะมีตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี อภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ เป็นต้น รวมถึงคนอื่นๆอีกหลายคนไม่เว้นแม้กระทั่งแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็น่าจะมีชื่อของ สนธิ ลิ้มทองกุล รวมอยู่ด้วย ซึ่งงานใต้ดินในลักษณะแบบนี้ไม่ต้องพูดกันมากก็น่าจะพอมองออกว่าต้องนึกถึงนายทหารคนใด
ส่วนในภาคการชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้น แม้ว่านาทีนี้ย่อมรู้ดีว่าได้ผ่านพ้นช่วงพีคที่สุดไปแล้ว คงจะหาบรรยากาศมีจำนวนคนเข้าร่วมแบบในช่วงวันสงกรานต์เลือดไม่ได้แล้ว เพราะกระแสคนขายชาติ-จาบจ้วงในหลวงกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนคนมากหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญคือต้องระดมออกมาให้มากที่สุด และหากสังเกตในช่วงเวลาไกล้เคียงกันก่อนหน้าไม่นาน ทักษิณ ได้ทวิตเตอร์ส่งผ่านไปถึงผู้สนับสนุนแบบปลุกเร้ากันอย่างเต็มที่ เช่น
" ... แผ่นดินเกิดไม่ให้เหยียบ แผ่นฟ้าไม่ให้บินผ่าน หนังสือเดินทางไม่ให้ถือ เงินหามาสุจริตไม่ให้ใช้ ยศพระราชทานจะเอาคืน เครื่องราชฯจะยึด ชีวิตก็จะไม่ไว้ ... "
" ... จะเดินทางไปเยี่ยมเพื่อน ก็รังควาน จะไปทำมาหาเลี้ยงชีพ ก็จะไล่ล่า ได้รับเกียรติจากประเทศอื่น ก็บอกว่าขายชาติ พูดปกป้องเจ้านาย ก็ว่าไม่จงรักภักดี ... "
" ... ไม่ป่วยก็บอกว่า เป็นมะเร็ง มีคนมาเยี่ยม ก็หาว่าเป็นกิ๊ก อยู่ดูไบมีระเบิดเมืองไทย ก็หาว่าเป็นคนทำ ต่อสู้ หาความเป็นธรรมอย่างสันติ ก็หาว่ารุนแรง ... "
" ... สมกับที่เขาว่า "พวกมึงทำอะไรก็ถูก พวกกูทำอะไรก็ผิด" แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร จะสันติได้อีกกี่น้ำ ผมจะขอร้องให้คนเสื้อแดงอดทนได้อีกนานแค่ไหนไม่รู้ ... "
ทั้งที่หากว่าไปแล้วทุกข้อความดังกล่าวล้วนเป็นการโกหกชนิดที่เรียกว่า “หน้าด้าน” ที่สุด เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายกาจ แต่นี่คือการ “ปลุกระดม” เพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้น และต้องการเรียกผู้สนับสนุนให้ออกมาให้มากที่สุด
หรือก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ก็มีการประชุมระดับแกนนำเสื้อแดงที่เขาใหญ่มีการระบุว่าเป็นการจัดงานเพื่อระดมทุน แต่เป้าหมายแท้จริงน่าจะเป็นการซักซ้อมความเข้าใจ รวมทั้งมีการเช็กกำลังเครือข่ายที่จะมาเข้าร่วมในวันชุมนุมใหญ่มากน้อยเพียงใด
“ชนฟ้า” แนวร่วมชิ่ง-กัดฟันถอย
อย่างไรก็ตามด้วยกระแสที่ดิ่งเหวลงมาตามลำดับทำให้ ทักษิณ และบรรดากุนซือทั้งหลายรับรู้แล้วว่าการฝืนชุมนุมในช่วงงาน “มหามงคล” วันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระเจ้าอยู่หัว ลักษณะ “ชนฟ้า” มีแต่ยิ่งทำให้เกิดภาพของเขายิ่งติดลบ มีแต่เสียงบ่นรำคาญ และนับวันเสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และนี่คือที่มาของการส่งสัญญาณถอยกรูดอย่างกะทันหัน
แม้ว่าหากพิจารณาจากเงื่อนไขรอบด้านแล้ว เชื่อว่าการชุมนุมครั้งนี้เป้าหมายสำคัญอาจไม่ใช่เป็นการใช้กำลังมวลชนออกมากดดันเพื่อล้มรัฐบาล แต่น่าจะต้องการเพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย หรือสร้างสถานการณ์รุนแรง โดยใช้กองกำลังใต้ดินที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งในที่นี้อาจหมายรวมไปถึงกองกำลัง “ต่างด้าว” จากประเทศเพื่อนบ้าน ในรูปแบบ “ฮุนเซน โมเดล” ผสมโรงเข้ามาทั้งในและนอกประเทศให้เกิดภาวะจลาจล จนนายกฯต้องยบุสภา หรือทำให้กองทัพอาจต้องตัดสินใจเข้ามาควบคุมสถานการณ์
ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงในแบบ “ล้างไพ่” กันใหม่ แล้วค่อยมีการนิรโทษกรรมให้กับทุกฝ่าย ซึ่งน่าจะมีเพียงวิธีนี้วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลบล้างความผิด ทรัพย์สินที่ถูกอายัดก็จะได้คืน และทักษิณ ยังมีสิทธิ์กลับเข้ามาสู่วงจรอำนาจอีกครั้ง รวมไปถึงเป็นผู้ที่กำหนดเกมใหม่ได้เอง
อย่างไรก็ดี ด้วยกระแสที่ตีกลับแรงจนคาดไม่ถึงดังกล่าว เมื่อประเมินกระแสจากทุกทางแล้วไม่มีใครเอาด้วย อีกทางหนึ่งฝ่าย “อำมาตย์” ที่ตัวเองชักธงรบก็ฮึดสู้ไม่ยอมถอย ยังมีการเตรียมพร้อมตั้งรับเต็มพิกัดมีการประกาศพื้นที่ความมั่นคงทั่วกรุงเทพฯ ก็ทำให้จำใจต้องสั่งถอยชั่วคราว เนื่องจากอีกทางหนึ่งยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง กัดฟันรอไปอีกระยะ ขณะที่อีกทางหนึ่งยังมีโอกาสลุ้นเจรจากับผู้มีอำนาจ “แท้จริง” อีกรอบ
แต่เชื่อว่าไม่น่าเกินปลายเดือนธันวาคมนี้ คงเลี่ยงไม่พ้นที่อาจจะต้องถึงคราว “แตกหัก” เพราะนี่คือ “สงครามชิงเมืองครั้งสุดท้าย” ของ ทักษิณ ชินวัตร !!
ปฏิญญาดูไบ สงครามครั้งสุดท้าย กับแผนบันได 5 ขั้น
หากพิจารณาให้ดี จะเห็นว่า ก่อนที่จะมีคำสั่งเลิกสงครามชิงเมือง ศึกครั้งนี้มีการเตรียมการมาอย่างเป็นระบบ เพื่อปิดเกม แตกหัก ล้มรัฐบาลให้ได้ จนแกนนำคนเสื้อแดงอย่างนายวีระ มุสิกพงศ์ และนพ.เหวง โตจิราการ ต้องบินไปพบนายใหญ่ เพื่อรับ 'ปฏิญญาดูไบ' หรือยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า แผนบันได 5 ขั้น เพื่อนำกลับมาก่อความเดือดร้อนวุ่นวายในประเทศ
บันไดขั้นแรกนั้นคือ 'ม็อบนาฬิกาปลุก' โดยรูปแบบจะเป็นการกำหนดวันนัดหมายชุมนุมทั่วไปให้เหมือนกับว่าเป็นการ ชุมนุมปกติตามรัฐธรรมนูญ โดยครั้งนี้จะมีมวลชนมามากกว่าทุกครั้ง อาจจะถึงแสนคน เพราะมีคำสั่งและเตรียมเงินให้ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยแต่ละคนเตรียมมวลชนไว้ 1-2 หมื่นคน เพื่อผลัดเปลี่ยนและเสริมกำลังตลอดเวลา ซึ่งแผนนี้เป็นเพียงเป้าลวง เป็นเพียงจุดขายยังไม่ใช่จุดชี้ขาด เพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายความมั่นคง และสื่อมวลชนทุ่มกำลังเฝ้าดูและติดตามในจุดเดียว แล้วรอสัญญาณรุกจากนายใหญ่
บันไดขั้นที่ 2 'รุกฆาตรัฐบาล' โดยจะเพิ่มการกดดันแบบเข้มข้น จัดกำลังดาวกระจายเพื่อบีบให้นายกฯ ประกาศหรือกำหนดช่วงเวลายุบสภา มาตรการสำคัญๆ จะเริ่มตั้งแต่การปิดล้อมหรืออาจถึงขั้นเข้ายึดทำเนียบ รัฐสภา กองบัญชาการกองทัพบก สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เอเอสทีวี และสถานที่สำคัญๆ รวมทั้งใช้แท็กซี่จอดล็อกเกียร์ทิ้งไว้เพื่อขวางถนนในหลายๆ จุดสำคัญ ให้การจราจรเป็นอัมพาต ส่งผลให้กำลังฝ่ายความมั่นคงเคลื่อนตัวลำบาก จนอำนาจรัฐเกิดสุญญากาศและเป็นอัมพาตตามไปด้วย
บันไดขั้นที่ 3 'ก่อการป่วนเมือง' หากนายกฯ ไม่ประกาศยุบสภา จะเพิ่มแรงกดดันด้วยการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เช่น อาจมีการวางระเบิด ลอบสังหารบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นบัญชีดำหมายหัวเป็นศัตรูกว่า 300 คน ไม่ว่าจะเป็นแกนนำพันธมิตรฯ กรรมการ คตส. ป.ป.ช. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นักวิชาการ นักการเมืองบางคน และสื่อมวลชนบางส่วน กระทั่งสร้างสถานการณ์รุนแรงในที่ชุมนุมเพื่อปลุกเร้าความโกรธแค้นให้กับมวลชน
บันไดขั้นที่ 4 'เอาเรื่องอำมาตย์' ขั้นนี้จะก้าวข้ามหรือไปไกลกว่าการไล่รัฐบาลอย่างที่นายกฯ พูดไว้ ที่สำคัญไกลกว่าเงิน 75,000 ล้าน เพราะ นช.ทักษิณรู้ดีว่าแค่เปลี่ยนรัฐบาลไม่พอที่จะกลับมาใหญ่ จึงต้องเปลี่ยนทุกอย่างที่ขวางทาง ซึ่ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์อำมาตย์ก็จะต้องตกเป็นเป้าโจมตีทั้งเปิดเผยและทาง ลับ เพราะการทำลาย พล.อ.เปรมได้ หมายถึงการทำลายความชอบธรรมและสั่นคลอนระบอบอำมาตย์ ส่งผลอย่างมีนัยต่องานเทอดพระเกียรติ 4-5 ธันวามหาราช สถานการณ์เช่นนี้จะบีบให้กองทัพเลือกข้าง จนอาจต้องรัฐประหาร
บันไดขั้นที่ 5 'ตั้งรัฐบาลแห่งชาติ' โดยหลังรัฐประหาร นช.ทักษิณ จะต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติตามแนวคิดบิ๊กจิ๋ว หวังเจรจาแบ่งปันอำนาจ เพื่อนิรโทษกรรมให้กับตัวเองและเครือข่าย หากคณะรัฐประหารปฏิเสธ จะใช้มวลชนขับไล่ต่อต้าน เผชิญหน้า และลากทุกฝ่ายกลับมานับหนึ่งความแตกแยกรอบใหม่อีกครั้ง ตามคำประกาศที่ว่าเมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ก็ไม่ต้องมีความสงบ แม้จบแบบนี้ทักษิณก็ไม่แพ้แต่ประเทศก็วุ่นวายต่อ