ASTVผู้จัดการรายวัน - กสิกรไทยชี้แนวโน้มบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้แตะ 32.90-33.00 เหตุดอลลาร์ร่วงหลังเฟดแถลงเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่ง ต้องกดดอกเบี้ยต่ำต่อ แต่สถานการณ์เข้าแทรกแซงของแบงก์ชาติเริ่มคลายตัวใช้วงเงินสำรองแค่ 300-400 ล้านดอลล์จากช่วงก่อนหน้าที่ต้องใช้ถึง 1,400-1,500 ล้านดอลล์ ด้านการปล่อยกู้สินเชื่อรายใหญ่ ล่าสุดร่วมกับกรุงไทย เอ็กซิมแบงก์ และมิซูโฮปล่อยกู้ให้บริษัทโทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ วงเงินรวม 200 ล้านดอลล์ เป็นส่วนของกสิกรไทย 100 ล้านดอลล์
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นปี 2552 นี้ธนาคารคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะที่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงมาก หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาประกาศว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งและจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำในการดูแลเศรษฐกิจต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2552 ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นประมาณ 4-5% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้าไปดูแลค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้มีการแข็งค่าเร็วจนเกินไป จึงส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง โดยช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท. ต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศดูแลค่าเงินบาท 1,400-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.เริ่มน้อยลดลง ทำให้ใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการดูแลค่าเงินบาทน้อยลงเหลือ 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์
“ค่าเงินบาทมีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในสิ้นปีนี้ เพราะในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอยู่ในระดับต่ำ และคงต่ำต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ แม้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ค่าเงินบาทจะอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ทางธปท.ก็เข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนที่แล้ว ธปท.เข้าไปดูแลค่อนข้างมาก ส่วน 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าดูแลค่อนข้างน้อยลง และขณะนี้เข้าดูแลระดับกลางๆ” นายธิติ กล่าว
สำหรับค่าเงินบาทวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆเปิดตลาดที่ระดับ 33.16-33.16 บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.165 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.205 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้คาดว่าจะมีทิศทางแข็งค่าต่อ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทไว้ที่ระดับ 33.15-33.30 บาทต่อดอลลาร์
ปล่อยกู้ร่วมTTA100ล้านดอลล์
นายธิติยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดธนาคารได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารมิซูโฮ ลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน (Syndicated Loan Facility) จำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลา 3 ปี แก่บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองรายใหญ่ของประเทศไทย
“สำหรับการปล่อยสินเชื่อร่วมครั้งนี้ ธนาคารได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการจัดหาสินเชื่อร่วม (Coordinator) โดยเป็นส่วนของธนาคารกสิกรไทยในการปล่อยสินเชื่อจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ธนาคารได้รับแต่งตั้งให้เป็น Security Agent และ Facility Agent ด้วย ซึ่งในปี 2552 นี้ธนาคารปล่อยซินดิเคทโลนที่เป็นรายใหญ่ๆ ให้กับบริษัท โทรีเซนไทยฯ เป็นรายสุดท้าย โดยซินดิเคทโลนของธนาคารจากการเริ่มปล่อยกู้ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-40% ของทั้งระบบตลาดที่ในแต่ละปีจะมีมูลค่าอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายธิติ กล่าว
ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อในครั้งนี้ บริษัทโทรีเซนไทยฯ มีแผนการจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับใช้ขยายธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า คือการขยายการลงทุนในธุรกิจขนส่ง ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สายธุรกิจมีความเข้มแข็งและขยายไปยังตลาดใหม่ รวมไปถึงดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการขนส่งสินค้า และค่าระวาง ประกอบกับพยายามกระจายกลุ่มลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินการและทางการเงิน สร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว
KTBโชว์10เดือนปล่อยกู้รายใหญ่1.5แสนล.
ด้านนางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า ในการปล่อยสินเชื่อร่วม 4 ธนาคาร ให้กับบริษัทโทรีเซนไทยฯ เป็นส่วนของธนาคารกรุงไทยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาขอสินเชื่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เพราะจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ประกอบกับธนาคารยังคงเน้นกลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภาคเอกชนที่ได้รับเหมาจากโครงการภาครัฐ ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
“ทั้งปี 2552 นี้ธนาคารจะมีการเติบโตสินเชื่อรายใหญ่สุทธิที่ 1 หมื่นล้านบาท จากพอร์ตรวมของธนาคาร ซึ่งอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 30% ของพอร์ตรวม ขณะที่แผนธุรกิจของธนาคารทางด้านรายใหญ่ในปี 2553 นั้น ต้องการเติบโตสุทธิทั้งปีอีก 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารยังคงสนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการขนส่งระบบราง ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเกษตรเช่นเดิม” นางสาวสมพิศ กล่าว
ด้านการแข่งขันสินเชื่อรายใหญ่ในปี 2553 เชื่อว่าจะยังคงรุนแรงและเข้มข้นเหมือนเดิม เนื่องจากทางภาครัฐ ได้มีโครงการไทยเข้มแข็งออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการต้องการสินเชื่อมากขึ้น โดยในแต่ละธนาคารก็ต้องมีกลยุทธ์ที่จะเข้าไปนำเสนอให้กับลูกค้าด้วย
อนึ่ง การให้การสนับสนุนทางการเงินของ 4 ธนาคาร แก่บริษัทโทรีเซนไทยฯวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนี้ แบ่งเป็นในส่วนของธนาคารกสิกรไทยจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารกรุงไทย จำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจำนวน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธนาคารมิซูโฮ จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายธิติ ตันติกุลานันท์ ผู้บริหารสายงานธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ในช่วงสิ้นปี 2552 นี้ธนาคารคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นไปแตะที่ระดับ 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลงมาก หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ออกมาประกาศว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งและจำเป็นต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำในการดูแลเศรษฐกิจต่อไป
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2552 ค่าเงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นประมาณ 4-5% ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้าไปดูแลค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้มีการแข็งค่าเร็วจนเกินไป จึงส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง โดยช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ธปท. ต้องใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศดูแลค่าเงินบาท 1,400-1,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.เริ่มน้อยลดลง ทำให้ใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในการดูแลค่าเงินบาทน้อยลงเหลือ 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์
“ค่าเงินบาทมีโอกาสปรับตัวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในสิ้นปีนี้ เพราะในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอยู่ในระดับต่ำ และคงต่ำต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ แม้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ค่าเงินบาทจะอ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ทางธปท.ก็เข้ามาดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนที่แล้ว ธปท.เข้าไปดูแลค่อนข้างมาก ส่วน 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าดูแลค่อนข้างน้อยลง และขณะนี้เข้าดูแลระดับกลางๆ” นายธิติ กล่าว
สำหรับค่าเงินบาทวานนี้ แกว่งตัวในกรอบแคบๆเปิดตลาดที่ระดับ 33.16-33.16 บาทต่อดอลลาร์ และปิดตลาดที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ โดยระหว่างวันแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.165 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.205 บาทต่อดอลลาร์ โดยแนวโน้มการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทวันนี้คาดว่าจะมีทิศทางแข็งค่าต่อ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทไว้ที่ระดับ 33.15-33.30 บาทต่อดอลลาร์
ปล่อยกู้ร่วมTTA100ล้านดอลล์
นายธิติยังกล่าวอีกว่า ล่าสุดธนาคารได้ร่วมกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และธนาคารมิซูโฮ ลงนามในสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงิน (Syndicated Loan Facility) จำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระยะเวลา 3 ปี แก่บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองรายใหญ่ของประเทศไทย
“สำหรับการปล่อยสินเชื่อร่วมครั้งนี้ ธนาคารได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการจัดหาสินเชื่อร่วม (Coordinator) โดยเป็นส่วนของธนาคารกสิกรไทยในการปล่อยสินเชื่อจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ธนาคารได้รับแต่งตั้งให้เป็น Security Agent และ Facility Agent ด้วย ซึ่งในปี 2552 นี้ธนาคารปล่อยซินดิเคทโลนที่เป็นรายใหญ่ๆ ให้กับบริษัท โทรีเซนไทยฯ เป็นรายสุดท้าย โดยซินดิเคทโลนของธนาคารจากการเริ่มปล่อยกู้ครั้งแรกจนถึงปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-40% ของทั้งระบบตลาดที่ในแต่ละปีจะมีมูลค่าอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ” นายธิติ กล่าว
ทั้งนี้ วงเงินสินเชื่อในครั้งนี้ บริษัทโทรีเซนไทยฯ มีแผนการจะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำรองสำหรับใช้ขยายธุรกิจใน 2 ปีข้างหน้า คือการขยายการลงทุนในธุรกิจขนส่ง ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สายธุรกิจมีความเข้มแข็งและขยายไปยังตลาดใหม่ รวมไปถึงดำเนินธุรกิจที่มีความหลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของความต้องการขนส่งสินค้า และค่าระวาง ประกอบกับพยายามกระจายกลุ่มลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินการและทางการเงิน สร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว
KTBโชว์10เดือนปล่อยกู้รายใหญ่1.5แสนล.
ด้านนางสาวสมพิศ เจริญเกียรติกุล รองกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงาน สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) กล่าวว่า ในการปล่อยสินเชื่อร่วม 4 ธนาคาร ให้กับบริษัทโทรีเซนไทยฯ เป็นส่วนของธนาคารกรุงไทยจำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 คาดว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาขอสินเชื่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เพราะจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว ประกอบกับธนาคารยังคงเน้นกลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และภาคเอกชนที่ได้รับเหมาจากโครงการภาครัฐ ซึ่งในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ไปแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
“ทั้งปี 2552 นี้ธนาคารจะมีการเติบโตสินเชื่อรายใหญ่สุทธิที่ 1 หมื่นล้านบาท จากพอร์ตรวมของธนาคาร ซึ่งอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 30% ของพอร์ตรวม ขณะที่แผนธุรกิจของธนาคารทางด้านรายใหญ่ในปี 2553 นั้น ต้องการเติบโตสุทธิทั้งปีอีก 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งธนาคารยังคงสนับสนุนสินเชื่อให้กับโครงการขนส่งระบบราง ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และภาคการเกษตรเช่นเดิม” นางสาวสมพิศ กล่าว
ด้านการแข่งขันสินเชื่อรายใหญ่ในปี 2553 เชื่อว่าจะยังคงรุนแรงและเข้มข้นเหมือนเดิม เนื่องจากทางภาครัฐ ได้มีโครงการไทยเข้มแข็งออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการต้องการสินเชื่อมากขึ้น โดยในแต่ละธนาคารก็ต้องมีกลยุทธ์ที่จะเข้าไปนำเสนอให้กับลูกค้าด้วย
อนึ่ง การให้การสนับสนุนทางการเงินของ 4 ธนาคาร แก่บริษัทโทรีเซนไทยฯวงเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในครั้งนี้ แบ่งเป็นในส่วนของธนาคารกสิกรไทยจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารกรุงไทย จำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยจำนวน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และธนาคารมิซูโฮ จำนวน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ