xs
xsm
sm
md
lg

ระเบิด M 79 ยิงจากข้างกระทรวงกลาโหม !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ณ บ้านพระอาทิตย์"
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เหตุการณ์วันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 ที่ถล่มประชาชนผู้รักชาติได้มารวมตัวกันจัดงาน “รวมพลังแผ่นดินปกป้องเกียรติภูมิของชาติ” เพื่อเป็นการแสดงพลังแห่งความสามัคคีของคนในชาติในการรักษา ชาติ ราชบัลลังก์ ศาลยุติธรรมที่กระทำในพระปรมาภิไธย และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ใครจะไปนึกว่าในขณะที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กำลังขึ้นเวทีปราศรัย ก็ได้มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นบริเวณห่างจากด้านหลังเวทีประมาณ 30 – 40 เมตร ประชาชนต้องบาดเจ็บอีกครั้งหนึ่งถึง 12 คน และมีเด็กวัย 8-9 ขวบต้องได้รับบาดเจ็บ 2 คน

แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นความเลวทรามต่ำช้าที่ต้องการทำให้ประชาชนผู้แสดงพลังเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของชาติต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แต่การจัดงานดังกล่าวก็สามารถดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นจนบรรลุเป้าหมายในการประกาศต่อปรชาชนชาวโลกให้ทราบเจตนารมณ์ของปวงชนชาวไทยได้เป็นผลสำเร็จ

แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความจำเป็นที่จะต้องสะสางความจริงให้เป็นที่ประจักษ์ และนำ “สัตว์นรก” ที่ยิงระเบิด M 79 ครั้งนี้ มาลงโทษให้จงได้

เพราะด้านหนึ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองในฝ่ายรัฐบาล ได้ทราบจากการข่าวให้เตรียมตัวกับการยิงระเบิด M 79 ในงานนี้มาก่อนล่วงหน้าประมาณ 3 วันแล้ว

แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนแผนไม่เคลื่อนขบวนในเวลากลางคืนจากท้องสนามหลวงไปที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้ดีที่สุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อได้ทราบเป็นการล่วงหน้าจึงได้มีการเตรียมกำลังถึง 1,500 นาย แต่ก็ยังปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ยิงระเบิด M-79 ได้อีก

การมีการข่าวรู้ล่วงหน้าถึง 3 วัน ลำพังเพียงแค่ปล่อยให้มีการยิง M-79 ได้อีกก็ถือว่าแย่มากอยู่แล้ว แต่ที่ต้องถือว่าแย่หนักไปกว่านั้นคือมีกำลังถึง 1,500 นาย ยังไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว

17 พฤศจิกายน 2552 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้พูดในที่ประชุมตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจในคืนนั้นอย่างรุนแรงตามที่ปรากฏเป็นข่าวความตอนหนึ่งว่า:

"การปฏิบัติงานครั้งนี้มีนายตำรวจในเครื่องแบบ 1,500 นาย นอกเครื่องแบบอีก 450 นาย ผมได้สั่งให้เอารถ 191 ไปจอดตามจุดที่คิดว่า จะมีคนก่อเหตุและเป็นจุดล่อแหลมแต่ก็ไม่มีใครทำตามคำสั่ง เพราะหากทำตามที่สั่งเมื่อเกิดเหตุร้ายก็เชื่อว่าจะต้องจับคนร้ายได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่าจุดที่เกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่เลย จะสั่งการอะไรก็ทำไม่ได้แม้แต่ระดับ ผกก.ก็ไม่เห็นหัว มัวแต่ไปอาบอบนวดกันอยู่หรืออย่างไร"

ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะยิง เอ็ม 79 จาก “บริเวณศาลหลักเมือง” โดยวิเคราะห์จากการวัดมุมยิง ซึ่งคาดว่าจะสืบหาตัวคนก่อเหตุได้ในเร็วๆนี้

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 สันนิษฐานว่ายิงมาจาก “บริเวณศาลหลักเมือง”!

แต่เมื่อดูคำสัมภาษณ์ย้อนกลับไป 1 วัน วันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุหลังเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้สัมภาษณ์ว่า

“ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานไปเก็บเศษดินระเบิดจากที่เกิดเหตุมาตรวจสอบเพื่อหาชนิดของวัตถุระเบิด ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นชนิด M79 และขณะนี้พอจะทราบวิถีแล้วว่ายิงมาจากจุดใด คาดว่าคนร้ายยืนอยู่ “บริเวณคลองหลอด” พร้อมกันนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบอาคารต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับท้องสนามหลวงแล้ว แต่ต้องขอเวลาตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง” 

วันที่ 16 พฤศจิกายน 2552 คาดว่าน่าจะมากจาก “บริเวณคลองหลอด” แต่ 17 พฤศจิกายน 2552 สันนิษฐานว่าน่าจะมาจาก “บริเวณศาลหลักเมือง”?

บริเวณที่ยิงนั้นมีความหมายอย่างมาก เพราะจะทำให้เกิดความเข้าใจว่าคนร้ายอยู่ที่ไหนและหนีรอดมือเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 1,500 นายได้อย่างไร?

“บริเวณศาลหลักเมือง” ไม่น่าเป็นไปได้เพราะมีประชาชนเห็นจำนวนมาก จะถึงกล้ายิง M-79 จะไปรอดสายตาประชาชนได้อย่างไร?

“บริเวณคลองหลอด” ก็ไม่น่าเป็นไปได้อีกเพราะต้องยิงวิถีโค้งและไม่สามารถผ่านตึกอาคาร และต้นไม้ได้ ดังนั้นจึงย่อมเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน

บริเวณที่น่าสงสัยที่สุดจึงเป็นบริเวณ “ถนนหลักเมือง” ข้างกระทรวงกลาโหม !?

ถนนหลักเมืองข้างกระทรวงกลาโหม จึงเป็นมุมที่เปิดกว้างที่สุดโดยที่ไม่มีอุปสรรคในการยิง ประชาชนและ “ตำรวจ” ก็ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวได้เพราะอยู่ในความดูแลของกระทรวงกลาโหม !!!

จุดยิงครั้งนี้จึงมีเป้าหมายการยิงที่ชัดเจนว่าต้องการสังหารหมู่ยิงระเบิดไปที่เวทีปราศรัยในวินาทีที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัย” พอดี !


จะเป็นเพราะความผิดพลาดเพราะมีตำรวจลาดตระเวนหลายจุด หรือจะเป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์รอบสนามหลวงก็เป็นได้ ทำให้ปฏิบัติการยิงครั้งแรกผิดพลาดเป็นผลทำให้การยิงครั้งต่อๆไปต้องหยุดชะงักลงไปในที่สุด

หรือจะเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของจตุคามรามเทพซึ่งพรมด้วยน้ำมนต์ของหลวงตามหาบัว ซึ่ง สนธิ ลิ้มทองกุล ตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณและลางสังหรณ์พิเศษจึงตัดสินใจไปฝังรอบสนามหลวงขอให้คุ้มครองความปลอดภัยชีวิตประชาชนเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2552 หรือไม่ก็ไม่มีใครทราบได้

เพราะถ้าการยิงครั้งแรกสำเร็จ ก็อาจหมายถึงการลอบสังหารแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสำเร็จไปด้วย ยังมีข่าวอีกว่าถ้าสำเร็จก็อาจจะมีการยิงอีก 2- 3 ครั้งตามมาทันที เพื่อกวาดรอบเวที โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนหวาดกลัว เข็ดหลาบและไม่กล้ามาชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกตลอดไป

เป็นการวางแผนเพื่อหวังกำจัดการเมืองภาคประชาชนแบบถาวร เพื่อปูทางก่อนเข้าสู่อำนาจแบบเบ็ดเสร็จในอนาคต!


แต่กลุ่มคนที่ปฏิบัติการเช่นนี้ย่อมมีเครือข่ายและสายสัมพันธ์กับคนที่ดูแลรอบกระทรวงกลาโหมเป็นอย่างดี จึงสามารถปฏิบัติการยิงลูกแรกในพื้นที่แบบนี้ได้

เที่ยวนี้ใครว่ากองทัพไม่เกี่ยว ทหารไม่เกี่ยว ก็เชิญรับประกันไปเถิด แต่ขอให้ดูกันว่าระหว่าง “นายพลเอกผู้จ่ายเงิน” กับ “ทหารพรานรับจ้าง” ที่อำมหิตหมายจะฆ่าประชาชนผู้รักชาติและราชบัลลังก์ ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบ้านเมือง ใครจะเป็นผู้รับกรรมก่อนกัน!

เพราะบ้านนี้เมืองนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงและกฎแห่งกรรมก็มีจริง ยิ่งเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2552 พันธมิตรฯได้จัดชุมนุมได้ตั้งจิตเป็นสมาธินับหมื่นนับแสนคนทำสัตยาธิษฐานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เชื่อว่าคนชั่วต้องถูกกรรมตามทันแน่นอน!
กำลังโหลดความคิดเห็น