โฆษกพันธมิตรฯ เผยผลหารือแกนนำ ชี้ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาเท็จโดยสิ้นเชิง ลั่นชุมนุมตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ยึดหลักอหิงสา-สันติ ยัน 16 ก.ค.นี้ ทั้ง 36 คนไปพบ จนท.แต่จะโต้แย้งทุกข้อกล่าวหา พร้อมยื่นฟ้องนายกฯ และเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้อง ฐานกระทำผิดกฎหมายอาญา ม.157 และ 200 กรณีแจ้งข้อหาอันเป็นเท็จ จงใจกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษเกินจริง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Newshour
วันนี้ (9 ก.ค.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านรายการ Newshour ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ภายหลังการประชุมของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกรณีถูกตำรวจตั้งข้อกล่าวหาพันธมิตรฯ และแนวร่วม 36 คนที่ชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองว่า ที่ประชุมเห็นว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดของตำรวจเป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จที่พยายามจะยัดเยียดให้กับพันธมิตร ทั้งที่ความเป็นจริงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรที่ผ่านมาเพื่อคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ และขับไล่นักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้อง รวมทั้งความพยายามปรับโครงสร้างพระราชอำนาจ และล้มล้างองคมนตรี ซึ่งถือว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญที่มีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ เป็นการชุมนุมโดยอหิงสา แม้ภายหลังเราจะยกระดับการต่อสู้ขึ้นแต่เพราะรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้พยายามที่จะทำผิดรัฐธรรมนูญในหลายๆ เรื่อง ทำให้เราต้องปรับรูปแบบวิธีการเรียกร้อง
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า ดังนั้นในการประชุมวันนี้แกนนำพันธมิตรเห็นว่าเราจะโต้แย้งทุกข้อกล่าวหาที่ตำรวจตั้งให้เรา และจะฟ้องร้องตำรวจรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่พยายามจะยัดเยียดข้อกล่าวหาให้พันธมิตร ทั้งในวันที่ 16 ก.ค.นี้ ทั้ง 36 คนที่ถูกตำรวจตั้งข้อหาจะเดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียก แต่เราจะใช้สิทธิเพื่อยื่นหนังสือโต้แย้งในทุกข้อกล่าวหาที่เห็นว่าเป็นข้อกล่าวหาที่ยัดเยียด เป็นเท็จทั้งหมด เพื่อเป็นบทเรียนให้กับสังคมว่าสิ่งใดที่ประชาชนควรจะทำได้หรือทำไม่ได้ตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตามสำหรับช่องทางในการฟ้องร้องกับตำรวจและผู้ที่เกี่ยวข้องที่กล่าวหาพันธมิตรนั้นยังไม่ได้กำหนดรายละเอียดว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่จะดำเนินการในทุกช่องทางตามกฎหมาย ทั้งศาลปกครอง ศาลอาญา ที่เราเห็นว่าจะดำเนินการได้ ดังนั้นคนที่รู้ตัวก็เตรียมตัวไว้ให้ดี เพราะพันธมิตรยืนยันจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด
นายปานเทพ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 16 ก.ค.นี้ขอให้พันธมิตรฯ ทุกคนไปร่วมกันให้มาก เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย หรือกระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างที่ถูกกล่าวหา เราชุมนุมโดยปราศจากอาวุธมา 193 วัน เมื่อเราเห็นว่าขบวนการที่พยายามล้มรัฐธรรมนูญได้ถูกดำเนินการไปแล้วเราก็สลายการชุมนุมทันที นอกจากนี้ประเด็นการปิดสนามบินก็อยากให้ทบทวนกันด้วยว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้ดำเนินการสั่งให้ปิดสนามบิน ทั้งที่พันธมิตรยังเดินทางไปถึงสนามบินด้วยซ้ำ แต่กลับสั่งปิดสนามบินเองทั้งที่ไม่ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมบอร์ดการท่าอากาศยาน แต่กลับกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพันธมิตรฯ ในขณะเดียวกันพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายเรียกร้องให้มีการเปิดใช้สนามบินด้วยซ้ำ ซึ่งเราก็จะฟ้องร้องกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งให้ปิดสนามบินเช่นกัน
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนยันแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 36 คน ที่ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา ตามหมายเรียกพนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีบุกรุกสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ จะเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน เพื่อโต้แย้งข้อกล่าวหา ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2552 เวลา 9.30 น. ตามหมายเรียก เนื่องจากข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นการแจ้งข้อหาอันเป็นเท็จทั้งสิ้น ซึ่งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯเป็นไปตามสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมได้อย่างสงบ สันติ แต่กลับถูกตั้งข้อหาที่ไม่เป็นจริง โดยเฉพาะก่อการร้าย
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันผู้ถูกกล่าวหาทุกคน จะยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตั้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และมาตรา 200 จากกรณีที่ปล่อยให้เจ้าพนักงานตั้งข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ ซึ่งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับความเสียหาย
ทั้งนี้ มาตรา 200 ประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา หรือจัดการให้เป็นไปตามหมายอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการ อย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันการมิชอบ เพื่อจะช่วยบุคคลหนึ่งบุคคลใด มิให้ต้องโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หกเดือนถึงเจ็ดปี และ ปรับตั้งแต่ หนึ่งพันบาท ถึง หนึ่งหมื่นสี่พันบาท ถ้าการกระทำหรือไม่กระทำนั้น เป็นการ เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ รับโทษหนักขึ้น หรือ ต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือ จำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และ ปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
พลตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า บรรยากาศในการประชุมของผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ทุกคนมีมติเอกฉันท์เป็นไปในแนวทางเดียวกันที่จะยื่นโต้แย้งข้อกล่าวหา เนื่องจากข้อกล่าวหาเป็นการกลั่นแกล้งให้ได้รับโทษ โดยทุกคนไม่ได้กังวลใจกับการตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด เนื่องจากพันธมิตรฯ ต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมือง ปกป้องรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ในวันที่ 16 กรกฎาคม ผู้ถูกกล่าวหาตามหมายเรียกทั้ง 36 คน จะเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดี-รังสิต ในเวลา 9.30 น. พร้อมยื่นโต้แย้งข้อกล่าวหา เพื่อรอคำสั่งจากพนักงานสอบสวนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ก่อนจะยื่นฟ้องศาลอาญา หรือศาลปกครองเพื่อมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด หรือเพื่อให้เพิกถอนข้อหาดังกล่าวต่อไป