xs
xsm
sm
md
lg

ขั้นต่อไป ทักษิณ กำลังจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้ !

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

นับตั้งแต่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ผู้ซึ่งหนีคำตัดสินของศาลฎีกาซึ่งกระทำในพระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งราชอาณาจักรไทย ได้มารับใช้เป็นข้าในขอบขันฑสีมาภายใต้พระบรมราชโองการของกษัตริย์กัมพูชานั้น ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความเสื่อมและตกต่ำที่สุดในคะแนนนิยมของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร

เพราะการเดินแต้มครั้งนี้ไม่ว่าจะประเมินจากฝั่งไหนก็ต้องถือว่าเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาดถึงขั้นอาจส่งผลทำให้กลายเป็นความพ่ายแพ้ทั้งกระดานของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นได้

ธรรมเนียมของราชอาณาจักรไทยมีอยู่ว่า เวลารัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปต่างประเทศ และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของต่างประเทศ กลับมายังไม่สามารถจะประดับได้ เพราะถือว่าเป็นเครื่องประดับของเจ้านายอีกฝ่ายหนึ่ง จึงต้องทำหนังสือกราบทูลขอพระราชทานอนุญาตให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศเสียก่อน และเมื่อมีพระบรมราชาอนุญาตแล้วต้องตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาด้วย

เพราะข้าราชการหรือนักการเมืองที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแบบแผนเพื่อดำรงพระเกียรติยศของพระมหากษัตริย์ และสำแดงตนเป็นผู้รับใช้ด้วยความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของชาติตัวเอง และไม่ยอมเป็นข้าในขอบขันฑสีมาของชาติอื่น เพราะหากข้าในขอบขันฑสีมาชาติใดประพฤติตัวเป็น “ข้าสองเจ้า บ่าวสองนาย” แล้ว โบราณถือว่าเป็นคนจัญไร

การที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งที่ปรึกษาภายใต้พระบรมราชโองการของกษัตริย์เขมร และตามมาด้วยคำสัมภาษณ์ในนิตยสารไทมส์ออนไลน์ ต้องถือว่าทั้ง 2 กรณีนี้ได้ส่งผลกระทบต่อความนิยมในตัวนักโทษชายทักษิณอย่างรุนแรง

ความจริงแล้ว การเสื่อมในความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นเริ่มต้นจากการเคลื่อนไหวของนายสนธิ ลิ้มทองกุลในปี 2548 และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2549 ตอนนั้นคนไทยจำนวนหนึ่งได้เรียนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นปัญหาของแผ่นดิน

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่รักแเละหลงเชื่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ออกมายืนยันและสนับสนุนนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มประชาชนที่เคลื่อนไหวในนาม “คนเสื้อแดง”

แต่ในปีนี้ ความนิยมของคนเสื้อแดงที่มีต่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ผ่านจุดสูงสุดไปตั้งนานแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน 2552 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เกิดกรณีที่นักโทษชายทักษิณ ประกาศว่าจะกลับมาประเทศไทยแล้วก็ไม่กลับมาตามสัญญา ในเวลาที่กลุ่มคนเสื้อแดงหลงเชื่อว่าพวกตัวเองตกอยู่ในอันตรายที่สุดถึงชีวิต

เหตุการณ์ในครั้งนั้นมีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งถอนตัวออกจากการสนับสนุนนักโทษชายทักษิณ ด้วยข้อหา “หนีเอาตัวเองรอด แต่ละทิ้งประชาชนในยามวิกฤต”

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ความจริงใจของคนเสื้อแดงที่มีต่อนักโทษชายทักษิณได้ “ลดน้อยลง” แต่ละกลุ่มของคนเสื้อแดงจึงเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์และความเชื่อของตัวเองเป็นสำคัญ

“กลุ่มแดงสู้แล้วรวย” เป็นตัวหลักในการจัดงานชุมนุมและการถ่ายทอดสด หันมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ว่าจะเผด็จศึกได้ในวันนั้นวันนี้ เพื่อหลอกเอาเงินจากกระเป๋ามาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ทุ่มแบบเอาตัวเข้าแลกในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงเหมือนแต่เดิม นับเป็นการเปลี่ยนการต่อสู้ที่มุ่งเน้นการสู้แล้วให้รวยที่สุดตามสูตรที่ว่า “สร้างฝันให้เชื่อว่าจะเผด็จศึก รับเงินให้มาก ลงทุนจ่ายให้น้อย จัดงานชุมนุมให้บ่อย”

กลุ่ม “แดงสู้แล้วรวย” จึงไม่ต้องสนใจความนิยมของประชาชน ไม่ต้องสนใจรูปแบบ ขอเพียงยืนอยู่ข้างนักโทษชายทักษิณเป็นอัน “รวย”

เหมือนกับกรณีที่ “แดงสู้แล้วรวย” ได้ทำการถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่ไม่ให้ญาติพี่น้องของนักโทษชายทักษิณเข้าร่วมลงนามนั้น ได้สร้างความแตกแยกในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเองอย่างมากต่อทิศทางที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเดี๋ยวนี้กิจกรรมและกระดาษมหาศาลที่ทุ่มทุนทำการถวายฎีกาในครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า นอกจากมีคนบางกลุ่มได้ “รวย” เพิ่มขึ้นเท่านั้น

แต่กรณีที่นักโทษชายทักษิณในการเป็นข้าในขอบขันฑสีมาของกัมพูชานั้น “กลุ่มสยามแดงที่ต้องการล้มเจ้า” “กลุ่มแดงเพื่อไทยที่ต้องสนใจเรื่องคะแนนนิยมในการเลือกตั้ง” และ “กลุ่มแดงหลงผิดในข้อมูล” ที่เชื่อและศรัทธาแนวคิดของคนเสื้อแดงนั้น ต่างเริ่มตั้งคำถามต่อทิศทางการตัดสินใจในครั้งนี้ซึ่งสวนทางกับความเชื่อและศรัทธาของตัวเองที่ผ่านมา

เพราะถ้าเป็นคนอยู่ใน “กลุ่มสยามแดง” หรือแดงไม่เอาเจ้า ก็ต้องเกิดคำถามว่า ตกลงนักโทษชายทักษิณจะยังเป็นผู้นำกลุ่มตัวเองได้ต่อไปหรือไม่ เพราะแทนที่จะมุ่งเน้นความเชื่อเรื่องการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับไปยอมรับสถาบันกษัตริย์ในชาติอื่นเสียเอง

ถ้าเป็นคนเสื้อแดงที่เชื่อตามแกนนำในการต่อต้าน “อำมาตยาธิปไตย” ก็เกิดคำถามว่าที่ผ่านมาสอนให้คนเสื้อแดงโค่นอำมาตย์ แต่วันนี้ผู้นำของตัวเองกลับไปยืนอยู่ข้างโคตรอัครมหาอำมาตย์อย่าง นายฮุนเซน ได้อย่างไร?

ถ้าเป็นคนเสื้อแดงที่มาจาก นปช. ที่เชื่อตามแกนนำพร่ำสอนให้ต่อต้านเผด็จการทหาร วันนี้เหตุใดนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย กลับไปยืนอยู่ข้างนายฮุนเซน ซึ่งทั่วโลกต่างรู้ว่าคนคนนี้ก็คือจอมรัฐประหารและเผด็จการทหารตัวจริง ที่สามารถใช้ทั้งการทุจริต การขายชาติ และกำลังทางทหารเพื่อเข้าสู่อำนาจของตัวเองในทุกวิถีทาง

ถ้าเป็นคนเสื้อแดงที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะการที่หนีคำพิพากษาของศาลฎีกาซึ่งกระทำใน “พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ไทย” แต่กลับไปยอมรับเป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาภายใต้ “พระบรมราชโองการของกษัตริย์เขมร” เพียงเท่านี้ก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปอธิบายแก้ตัวได้แล้ว

ไม่ต้องพูดถึงการให้สัมภาษณ์ของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรใน นิตยสารไทมส์ออนไลน์ หรือการที่สื่อในรัฐบาลเผด็จการของฮุนเซน โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย จะกระทบใจคนเสื้อแดงที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์มากน้อยเพียงใด

ถ้าเป็นคนเสื้อแดงที่อยู่อีสาน จากที่เคยได้ยินทักษิณ ยืนยันว่า “เขาพระวิหาร” เป็นของกัมพูชา มาวันนี้มาเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา ก็คงกังวลอยู่ไม่น้อยเช่นกันว่าถ้าวันหนึ่งทักษิณกลับมา พื้นที่ชายแดนของชาวอีสานที่ติดกับกัมพูชา ตั้งแต่ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว ไปจนถึงจันทบุรี และตราด ดินแดนที่ตัวเองอาศัยอยู่นั้นจะไปเป็นของเขมรหรือไม่?

เพราะคงไม่มีคนอีสานคนไหนจะสนับสนุนเอาทักษิณกลับมา โดยที่ตัวเองต้องยอมแปลงสัญชาติเป็นเขมรเป็นแน่!!!

และถ้าเป็น “คนเสื้อแดงทั่วไป” คงได้คิดเหมือนกันว่าถ้าวันใดไปที่กัมพูชา เกิดถูกจับข้อหาใส่ร้ายเป็นเผด็จการนักจารกรรมในประเทศเมื่อใด ก็คงถูกขังไปไม่มีกำหนดโดยที่ ส.ส.เสื้อแดงนอกจากจะไม่ช่วยเหลือหรือเข้าเยี่ยมแล้ว จะต้องถูกเหยียบย่ำถล่มใส่ความกับคนไทยกันเองทันทีอย่างอำมหิต จนแทบไม่น่าเชื่อว่าคนไทยด้วยกันเองจะทำกันได้มากขนาดนี้

ถึงขนาดยังเอามาเล่นการเมืองโดยไม่สนใจชีวิตคนไทยว่า “ถ้าอยากให้ทักษิณช่วยคนไทยที่ถูกจับ ก็ให้รัฐบาลขอร้องมา?”

สถานการณ์เช่นนี้จึงถือเป็นความเพลี่ยงพล้ำที่สุดของ นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคะแนนความนิยมที่มีต่อนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย

วันนี้ คำว่า “ข้าในขอบขันฑสีมาของกัมพูชา” “คนทรยศชาติ” “คนขายชาติ” เป็นคำที่มีนักวิชาการและคนจำนวนไม่น้อยมอบให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร แล้วจริงหรือไม่?

“พรรคเพื่อไทย” หากยังเชิดชูนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรต่อไป ก็อาจจะถือเป็นความโชคดีของประเทศไทย และเป็นเวรเป็นกรรมของพรรคเพื่อไทยเองที่จะต้องถูกตั้งข้อสงสัยต่อไปอีกนานว่าเป็น “พรรคเพื่อเขมร” ใช่หรือไม่?

ความนิยมที่เสื่อมลงอย่างรุนแรงในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากคนอื่นเลย นอกจากการกระทำของตัวเองแท้ๆ ต้องถือว่าเป็นธรรมะจัดสรร บ้านเมืองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราชมีจริง และกฎแห่งกรรมก็มีจริง

ยังจำคำเทศน์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ ครั้งหนึ่ง เมื่อปี 2548 ซึ่งได้ทำนายอนาคตพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตอนนั้นว่า:

1. จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่
2. เงินทองที่หามาได้ก็จะค่อยๆ หมดลงไป
และ 3. แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาเอาไว้ไม่ได้

4 ปีผ่านไป วันนี้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร สภาพเหมือนไม่มีแผ่นดินจะอยู่จริงๆ

4 ปีผ่านไป นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ถูกหลอกเอาเงินทั้งจากนักการเมืองและนักจัดม็อบในประเทศไทยไม่รู้จำนวนเท่าไหร่ ถูกรีดไถเวลาไปพำนักประเทศอื่นๆ อีกเท่าไหร่

ไม่ต้องพูดถึงตัวอย่าง กรณีกระแสข่าวลือหนาหูว่าตึกที่ดูไบแห่งหนึ่งขายได้ไปกว่า 3,000 ล้านบาทผ่านบัญชีนักธุรกิจไทยตัวอักษร “พ.” แล้วนักธุรกิจ “พ.” ที่ว่าดันอมเงินเข้ากระเป๋าไปซื้อตึกอีกอาคารเพื่อหวังขายต่อเพื่อฟันกำไรอีกทอดโดยไม่ยอมโอนต่อให้ “เจ้าของที่แท้จริงที่ดูไบ” แล้วหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยนั้น หวังว่าเจ้าของที่แท้จริงคนนั้นไม่ได้ชื่อนักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร

เพราะถ้าสมมติว่าเจ้าของที่แท้จริงที่ดูไบนั้นหมายถึง นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร แล้ว การมาเยือนที่เขมรครั้งนี้ก็คงได้แต่ชูคอชะเง้ออยู่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเจ็บปวดโดยไม่สามารถมาตามทวงในประเทศไทยได้

คำโบราณของไทยนั้นมีอยู่ว่า “เงินร้อนได้มาก็จะหมดไปเร็ว”

วันนี้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลที่หนีคดีความกฎหมายประเทศอื่น สภาพความเป็นอยู่จึงไม่ได้ถูกคุ้มครองทางกฎหมายเหมือนคนปกติทั่วไป มีโอกาสที่จะถูกเรียกค่าไถ่ ถูกตามล่า หรือถูกรีดไถ เสมือนอาหารอันโอชะของเหล่ามหาโจรมาเฟียทั่วโลก นี่ก็เป็นอันตรายถึงชีวิตด้านหนึ่ง

และถ้าสมมติว่านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีเงินฝากเอาไว้ในบัญชีคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกเมีย ลองคิดดูว่าคนเหล่านี้จะไม่ปรารถนาวันตายของทักษิณเพื่อให้ได้ทรัพย์สินเหล่านั้นมาเป็นของตัวเองหรอกหรือ นี่ก็อันตรายถึงชีวิตอีกด้านหนึ่ง

ยิ่งต่อสู้มาก ดิ้นมากเท่าไร ทำร้ายประเทศไทยมากเท่าไร ความเกลียดชังต่อ นักโทษชายทักษิณ ก็ขยายกว้างไปมากขึ้นเรื่อยๆ อันตรายต่อชีวิตทักษิณก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ที่หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโณ เทศน์เอาไว้เมื่อปี 2548 หากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้มีปัญญาและมีดวงตาเห็นธรรมจริง ก็ควรจะคิดว่าคำเทศน์ครั้งนั้นได้ชี้ทางสว่างเตือนสติให้รู้ว่า “ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินและเงินทอง และแม้แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง” จึงควรใช้เวลาที่เหลืออยู่เร่งทำกรรมดี สร้างบุญกุศล ก่อนสิ้นลมหายใจ

แต่หากดวงตามองไม่เห็นธรรม ก็เห็นทีว่าจะต้องชดใช้กรรมที่ตัวเองได้ก่อเอาไว้จริงๆ!
กำลังโหลดความคิดเห็น