วันนี้คนไทยทุกคนที่ติดตามพฤติกรรมบ้าคลั่งของทักษิณ ย่อมจะรู้ดีทักษิณ กำลังทำอะไรและต้องการอะไรบ้าง ซึ่งก็คงไม่เกินเงิน อำนาจ และการทำลายใครก็ได้ที่ขัดขวางเขา แต่พฤติกรรมจาบจ้วงล่วงเกินพระบารมีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์นั้น เป็นสิ่งที่คนไทยยอมรับไม่ได้ ยิ่งกว่าการไปคบกับเขมรฮุนเซน ในฐานะที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีเขมรเสียอีก คำถามสำคัญว่าไทยกับเขมรมีความขัดแย้งกันอยู่หรือไม่ เป็นความขัดแย้งถาวรหรือกึ่งถาวร ซึ่งอาจมีคำตอบสองลักษณะ คือ ความขัดแย้งถาวร คือ ผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายแสวงหา แต่ถ้าตกลงกันได้ในลักษณะได้กับได้ ความขัดแย้งก็จะถูกสยบไว้ก่อน
แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าเสียเปรียบแล้ว ความขัดแย้งนั้นก็ผุดขึ้นทันทีและพัฒนาได้ ส่วนความขัดแย้งกึ่งถาวร ได้แก่ความไม่ชัดเจนของพื้นที่ทั้งบนบก ในน้ำ และแนวเขตชายแดน ซึ่งจะยุติได้ก็ต่อเมื่อมีการตกลงกัน บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย หากเป็นเช่นนี้ความขัดแย้งนี้ก็จะหายไปอย่างถาวร
ความขัดแย้งทั้งสองลักษณะ มีความเกี่ยวพันกันแน่นแฟ้นลึกซึ้ง เหมือนฝาแฝด แยกออกจากกันยากมากทั้งในเชิงรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
ดังนั้น หลายประเทศที่มีพรมแดนติดกัน จะมีธรรมชาติความขัดแย้งเหมือนๆ กันทั้งโลก ซึ่งในที่สุดก็จะจบลงตรงที่ต้องรบพุ่งกันเมื่อตกลงกันไม่ได้ แม้นว่าหนทางนี้จะเป็นหนทางสุดท้ายก็ตาม แต่ก็ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน เช่น ซาอุดิอาระเบียกับเยเมนที่พรมแดนติดกันมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก่อน ซึ่งเมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองทัพอากาศ ซาอุดิอาระเบียส่งฝูงบินรบโจมตีที่มั่นกลุ่มก่อการร้ายต่อต้านรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความซับซ้อนมากทั้งเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งภายในและภายนอกเยเมน
หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรแล้ว มีลักษณะ Love-Love Hate-Hate มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์หลังทรงชนะศึกพม่าและกู้ชาติได้แล้ว ทรงส่งสาสน์ไปเขมรให้ส่งต้นไม้ทองต้นไม้เงินมาเป็นเครื่องบรรณาการเช่นครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่พระนารายณ์ราชากษัตริย์เขมรทรงปฏิเสธ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงส่งกองทัพไปปราบและโปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) ต่อมาคือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) สองพี่น้องไปตีเมืองเสียมราฐ และให้พระยาโกษาธิบดี ตีเมืองพระตะบอง แต่เขมรปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคตแล้วขณะตีเมืองนครศรีธรรมราช กองทัพไทยจึงยกทัพกลับ
แต่ใน พ.ศ. 2413 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกทัพไปเอง สามารถตีเขมรกลับคืนมาเป็นของไทยได้ ทำให้กษัตริย์เขมรหนีไปพึ่งญวน นี่เป็นปฐมเหตุที่ไทยรบกับญวนในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้เขมรก็ตกเป็นของไทยอีก และโปรดให้พระรามราชาเป็นกษัตริย์ปกครองเขมร ภายใต้เศวตฉัตรของกรุงธนบุรี แต่ใน พ.ศ. 2323 เกิดจลาจลในเขมรเมื่อราชวงศ์ฆ่ากันเองและหันไปญาติดีกับญวน จึงทรงให้ยกทัพไปตีเขมรเพื่อป้องกันมิให้ญวนเข้ายึดครอง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงต้องยกทัพกลับเพราะเกิดกบฏสรรค์ขึ้นในพระนคร และให้พระยายมราช ต้นตระกูล (แผน) อภัยวงศ์ ดูแลเขมร ขุนนางเขมร จึงขอให้รัชกาลที่ 1 รับนักองค์เองเป็นพระราชบุตรบุญธรรม
ต่อมาทรงโปรดให้กลับไปครองราชย์ที่เขมร พระนามว่าพระนารายณ์ราชาธิบดี ส่วนพระยายมราชโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาอภัยภูเบศร์ปกครองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณขึ้นตรงกับกรุงรัตนโกสินท์ ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสใช้กำลังทางทหารเข้ายึดเขมร ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงยอมเสียเขมรแต่รักษาแผ่นดินไทยไว้ จนสมัยรัชกาลที่ 8 ไทยเรียกร้องดินแดนเขมรคืนจากฝรั่งเศสจนสู้รบกัน ไทยได้ดินแดนเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณคืน แต่ต่อมาต้องคืนให้เขมรเพราะไทยเข้าข้างญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงคราม จนใน พ.ศ. 2505 เจ้าสีหนุฟ้องศาลโลกเอาเขาพระวิหารคืน ซึ่งไทยแพ้ความ
ดังนั้น ความขัดแย้งนี้จึงมีลักษณะเป็นความขัดแย้งกึ่งถาวรเพราะศาลโลกได้ทิ้งความขัดแย้งไว้ ส่วนความขัดแย้งที่เป็นสงครามการเมืองยังคงอยู่ในหลายลักษณะ ซึ่งเรื่องของศักดิ์ศรีเป็นประเด็นหนึ่งที่ ฮุนเซน ต้องการใช้ความขัดแย้งภายในของไทยเป็นปัจจัยสร้างวีรกรรมด้วยหยามน้ำใจและศักดิ์ศรีไทย และการที่ทักษิณ ยอมรับและสมัครใจไปเป็นที่ปรึกษาให้ฮุนเซนนั้น จึงเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะทักษิณ เคยเป็นนายกรัฐมนตรี รู้เรื่องราวเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติทั้งรูปธรรมและนามธรรมเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าเป็นการขายชาติมาตรการหนึ่งอย่างแน่นอนเพราะเชื่อได้ว่ายุทธศาสตร์ชาติไทยเป็นอำนาจการแลกเปลี่ยนของทักษิณที่จะได้รับผลประโยชน์จากฮุนเซน แต่ถ้าทักษิณเป็นคนธรรมดา การเป็นที่ปรึกษาฮุนเซน ก็คงเป็นเรื่องแค่คนไทยขายชาติหรือเป็นเพียงจารชนคนขายตัวให้เขมรเท่านั้น
แต่ประเด็นสำคัญมิใช่เรื่องเขมรเพราะความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของชาติที่มีพรมแดนติดกันอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องการให้สัมภาษณ์ของทักษิณกับ Timesonline ซึ่งมีบทความอยู่สองส่วน เรื่องแรก เป็นเรื่องที่นายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่ สรุปเรื่องรายละเอียดการให้สัมภาษณ์ของทักษิณ 12 หน้า เอ 4 ซึ่งฝรั่งได้อ่านอย่างละเอียด หรือคนไทยที่พอมีความรู้ภาษาอังกฤษ และใช้ Internet เป็น ก็คงได้อ่าน และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันชัดเจนว่าทักษิณจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ชัดแจ้งมาก แม้นว่าทักษิณจะออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า หนึ่ง นายแพร์รี่ บิดเบือนข้อเท็จจริงจากคำให้สัมภาษณ์ สอง ทักษิณ อ้างว่า ปากเร็ว และสาม เพราะตนมีความรู้ภาษาอังกฤษน้อย
จึงต้องดูว่า นายแพร์รี่ จะยอมรับไหมว่าเขาบิดเบือน เพราะเป็นการผิดจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวที่ดี แต่เราคนไทยไม่ต้องให้ความสำคัญเพราะอาจเป็นเพียงนักข่าวขายตัว ข้อสอง การปากไวนั้นเราคงยอมรับว่าทักษิณเป็นผู้นำที่มี EQ ต่ำมากๆ ขาดคุณลักษณะผู้มีปัญญา สติสัมปชัญญะ และจรรยาบรรณของชนชั้นผู้นำ ข้อสาม ความรู้ภาษาอังกฤษน้อยนั้น เราก็ต้องบอกกับ Eastern Texas University ว่า ประสิทธิ์ประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับทักษิณได้อย่างไร คำว่า Docterate of Philosophy มีความหมายมาก จึงเห็นควรให้ Eastern Texas University Alumni ได้พิจารณาประเด็นนี้ด้วย
แต่ผู้เขียนวิเคราะห์ทุกอย่างแล้วพบทักษิณตั้งใจวางแผน และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์สงครามการเมืองของเขาที่จะเอาชนะสถาบันชาติของไทย เพราะในสงครามการเมืองนั้น สงครามจิตวิทยาเป็นกลไกสงครามที่สำคัญยิ่ง และหวังผลได้สมบูรณ์แบบหากว่าเป้าหมายสำแดงตอบโต้ เป้าหมายของทักษิณคือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งพระราชวงศ์เพราะหากวิเคราะห์เนื้อหาในรายละเอียดการสัมภาษณ์เป็นเช่นนั้นที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
ที่สรุปว่าทักษิณได้วางแผนเป็นอย่างดีนั้น ก็เพราะว่าการให้สัมภาษณ์มีความยาวถึง 12 หน้าเอ 4 ตามปกติทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ต้องสื่อสารกันว่าหัวข้อมีอะไรบ้างที่จะสัมภาษณ์กัน คนเรียนนิเทศศาสตร์ทุกคนก็รู้กติกานี้ดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบ Impromtu ปัจจุบันทันด่วนเหมือนนักเทนนิสที่เพิ่งชนะการแข่งขันมา แต่นั่นเขาถามกันข้อสองข้อเท่านั้น แต่นี่ 12 แผ่นกระดาษขนาด เอ 4 และเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับราชวงศ์มากกว่าครึ่งเนื้อหาหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่มีคำสำคัญที่ทักษิณใช้ในการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษง่ายๆ เช่น Shining แปลว่า เปล่งปลั่ง โชติช่วง สุกใส และรุ่งโรจน์หรือคำว่า Transform แปลว่า ปฏิรูป เปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนแปลง และแปลงสภาพ
ณ ตรงนี้ทักษิณหมายถึงอะไร ขณะนี้เราอยู่ในยุคที่มืดมนหรืออย่างไร ที่จะมืดมนก็คือ ทักษิณ นำทัพเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองมากกว่าอะไรทั้งสิ้น หากไม่มีทักษิณบ้านเมืองคงต้องโชติช่วงชัชวาลแน่นอน เพราะไม่มีการโกงกินบ้านเมือง ไม่ทรยศต่อคำสาบาน ไม่ทรยศต่อชาติหรือทรยศต่อพระเมตตาของในหลวงที่พระราชทานให้ทักษิณนานัปการ ทรงพระราชทานชื่อ ไทคม อันเป็นมงคลยิ่งให้ทักษิณ เสด็จฯ ไปเปิดสถานีรับสัญญาณดาวเทียมให้ทักษิณและอีกมากมาย
ส่วน Transform นั้น ทักษิณหมายความว่าอย่างไร หรือทักษิณจะปฏิรูประบบอะไร หรือทักษิณ ต้องการให้การเปลี่ยนแปลงระบบอะไรที่ขัดขวางทักษิณมากที่สุด
แต่ข้อเท็จจริงของคำตอบเหล่านี้อยู่ในคำสัมภาษณ์ของทักษิณทั้งสิ้น คำสัมภาษณ์ของทักษิณเลวร้ายกว่าคำสัมภาษณ์ของจักรภพ เพ็ญแข นับร้อยเท่า หากเราว่าจักรภพ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว เพียง 1 เท่าของจักรภพ ก็เท่ากับของทักษิณ 100 เท่า
nidd_riddhagni@gmail.com
แต่เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าเสียเปรียบแล้ว ความขัดแย้งนั้นก็ผุดขึ้นทันทีและพัฒนาได้ ส่วนความขัดแย้งกึ่งถาวร ได้แก่ความไม่ชัดเจนของพื้นที่ทั้งบนบก ในน้ำ และแนวเขตชายแดน ซึ่งจะยุติได้ก็ต่อเมื่อมีการตกลงกัน บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย หากเป็นเช่นนี้ความขัดแย้งนี้ก็จะหายไปอย่างถาวร
ความขัดแย้งทั้งสองลักษณะ มีความเกี่ยวพันกันแน่นแฟ้นลึกซึ้ง เหมือนฝาแฝด แยกออกจากกันยากมากทั้งในเชิงรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
ดังนั้น หลายประเทศที่มีพรมแดนติดกัน จะมีธรรมชาติความขัดแย้งเหมือนๆ กันทั้งโลก ซึ่งในที่สุดก็จะจบลงตรงที่ต้องรบพุ่งกันเมื่อตกลงกันไม่ได้ แม้นว่าหนทางนี้จะเป็นหนทางสุดท้ายก็ตาม แต่ก็ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน เช่น ซาอุดิอาระเบียกับเยเมนที่พรมแดนติดกันมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมาก่อน ซึ่งเมื่อวันที่ 6พฤศจิกายน ที่ผ่านมา กองทัพอากาศ ซาอุดิอาระเบียส่งฝูงบินรบโจมตีที่มั่นกลุ่มก่อการร้ายต่อต้านรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศมีความซับซ้อนมากทั้งเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ทั้งภายในและภายนอกเยเมน
หากพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรแล้ว มีลักษณะ Love-Love Hate-Hate มาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์หลังทรงชนะศึกพม่าและกู้ชาติได้แล้ว ทรงส่งสาสน์ไปเขมรให้ส่งต้นไม้ทองต้นไม้เงินมาเป็นเครื่องบรรณาการเช่นครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่พระนารายณ์ราชากษัตริย์เขมรทรงปฏิเสธ สมเด็จพระเจ้าตากสินจึงส่งกองทัพไปปราบและโปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) ต่อมาคือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระยาอนุชิตราชา (บุญมา) สองพี่น้องไปตีเมืองเสียมราฐ และให้พระยาโกษาธิบดี ตีเมืองพระตะบอง แต่เขมรปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชสวรรคตแล้วขณะตีเมืองนครศรีธรรมราช กองทัพไทยจึงยกทัพกลับ
แต่ใน พ.ศ. 2413 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกทัพไปเอง สามารถตีเขมรกลับคืนมาเป็นของไทยได้ ทำให้กษัตริย์เขมรหนีไปพึ่งญวน นี่เป็นปฐมเหตุที่ไทยรบกับญวนในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้เขมรก็ตกเป็นของไทยอีก และโปรดให้พระรามราชาเป็นกษัตริย์ปกครองเขมร ภายใต้เศวตฉัตรของกรุงธนบุรี แต่ใน พ.ศ. 2323 เกิดจลาจลในเขมรเมื่อราชวงศ์ฆ่ากันเองและหันไปญาติดีกับญวน จึงทรงให้ยกทัพไปตีเขมรเพื่อป้องกันมิให้ญวนเข้ายึดครอง สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกจึงต้องยกทัพกลับเพราะเกิดกบฏสรรค์ขึ้นในพระนคร และให้พระยายมราช ต้นตระกูล (แผน) อภัยวงศ์ ดูแลเขมร ขุนนางเขมร จึงขอให้รัชกาลที่ 1 รับนักองค์เองเป็นพระราชบุตรบุญธรรม
ต่อมาทรงโปรดให้กลับไปครองราชย์ที่เขมร พระนามว่าพระนารายณ์ราชาธิบดี ส่วนพระยายมราชโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาอภัยภูเบศร์ปกครองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณขึ้นตรงกับกรุงรัตนโกสินท์ ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสใช้กำลังทางทหารเข้ายึดเขมร ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงยอมเสียเขมรแต่รักษาแผ่นดินไทยไว้ จนสมัยรัชกาลที่ 8 ไทยเรียกร้องดินแดนเขมรคืนจากฝรั่งเศสจนสู้รบกัน ไทยได้ดินแดนเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณคืน แต่ต่อมาต้องคืนให้เขมรเพราะไทยเข้าข้างญี่ปุ่นซึ่งแพ้สงคราม จนใน พ.ศ. 2505 เจ้าสีหนุฟ้องศาลโลกเอาเขาพระวิหารคืน ซึ่งไทยแพ้ความ
ดังนั้น ความขัดแย้งนี้จึงมีลักษณะเป็นความขัดแย้งกึ่งถาวรเพราะศาลโลกได้ทิ้งความขัดแย้งไว้ ส่วนความขัดแย้งที่เป็นสงครามการเมืองยังคงอยู่ในหลายลักษณะ ซึ่งเรื่องของศักดิ์ศรีเป็นประเด็นหนึ่งที่ ฮุนเซน ต้องการใช้ความขัดแย้งภายในของไทยเป็นปัจจัยสร้างวีรกรรมด้วยหยามน้ำใจและศักดิ์ศรีไทย และการที่ทักษิณ ยอมรับและสมัครใจไปเป็นที่ปรึกษาให้ฮุนเซนนั้น จึงเป็นเรื่องร้ายแรงมาก เพราะทักษิณ เคยเป็นนายกรัฐมนตรี รู้เรื่องราวเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของชาติทั้งรูปธรรมและนามธรรมเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าเป็นการขายชาติมาตรการหนึ่งอย่างแน่นอนเพราะเชื่อได้ว่ายุทธศาสตร์ชาติไทยเป็นอำนาจการแลกเปลี่ยนของทักษิณที่จะได้รับผลประโยชน์จากฮุนเซน แต่ถ้าทักษิณเป็นคนธรรมดา การเป็นที่ปรึกษาฮุนเซน ก็คงเป็นเรื่องแค่คนไทยขายชาติหรือเป็นเพียงจารชนคนขายตัวให้เขมรเท่านั้น
แต่ประเด็นสำคัญมิใช่เรื่องเขมรเพราะความขัดแย้งเป็นธรรมชาติของชาติที่มีพรมแดนติดกันอยู่แล้ว แต่เป็นเรื่องการให้สัมภาษณ์ของทักษิณกับ Timesonline ซึ่งมีบทความอยู่สองส่วน เรื่องแรก เป็นเรื่องที่นายริชาร์ด ลอยด์ แพร์รี่ สรุปเรื่องรายละเอียดการให้สัมภาษณ์ของทักษิณ 12 หน้า เอ 4 ซึ่งฝรั่งได้อ่านอย่างละเอียด หรือคนไทยที่พอมีความรู้ภาษาอังกฤษ และใช้ Internet เป็น ก็คงได้อ่าน และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันชัดเจนว่าทักษิณจงใจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ชัดแจ้งมาก แม้นว่าทักษิณจะออกมาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า หนึ่ง นายแพร์รี่ บิดเบือนข้อเท็จจริงจากคำให้สัมภาษณ์ สอง ทักษิณ อ้างว่า ปากเร็ว และสาม เพราะตนมีความรู้ภาษาอังกฤษน้อย
จึงต้องดูว่า นายแพร์รี่ จะยอมรับไหมว่าเขาบิดเบือน เพราะเป็นการผิดจรรยาบรรณของผู้สื่อข่าวที่ดี แต่เราคนไทยไม่ต้องให้ความสำคัญเพราะอาจเป็นเพียงนักข่าวขายตัว ข้อสอง การปากไวนั้นเราคงยอมรับว่าทักษิณเป็นผู้นำที่มี EQ ต่ำมากๆ ขาดคุณลักษณะผู้มีปัญญา สติสัมปชัญญะ และจรรยาบรรณของชนชั้นผู้นำ ข้อสาม ความรู้ภาษาอังกฤษน้อยนั้น เราก็ต้องบอกกับ Eastern Texas University ว่า ประสิทธิ์ประสาทปริญญาดุษฎีบัณฑิตให้กับทักษิณได้อย่างไร คำว่า Docterate of Philosophy มีความหมายมาก จึงเห็นควรให้ Eastern Texas University Alumni ได้พิจารณาประเด็นนี้ด้วย
แต่ผู้เขียนวิเคราะห์ทุกอย่างแล้วพบทักษิณตั้งใจวางแผน และดำเนินการให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์สงครามการเมืองของเขาที่จะเอาชนะสถาบันชาติของไทย เพราะในสงครามการเมืองนั้น สงครามจิตวิทยาเป็นกลไกสงครามที่สำคัญยิ่ง และหวังผลได้สมบูรณ์แบบหากว่าเป้าหมายสำแดงตอบโต้ เป้าหมายของทักษิณคือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งพระราชวงศ์เพราะหากวิเคราะห์เนื้อหาในรายละเอียดการสัมภาษณ์เป็นเช่นนั้นที่ไม่มีใครปฏิเสธได้
ที่สรุปว่าทักษิณได้วางแผนเป็นอย่างดีนั้น ก็เพราะว่าการให้สัมภาษณ์มีความยาวถึง 12 หน้าเอ 4 ตามปกติทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ต้องสื่อสารกันว่าหัวข้อมีอะไรบ้างที่จะสัมภาษณ์กัน คนเรียนนิเทศศาสตร์ทุกคนก็รู้กติกานี้ดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นแบบ Impromtu ปัจจุบันทันด่วนเหมือนนักเทนนิสที่เพิ่งชนะการแข่งขันมา แต่นั่นเขาถามกันข้อสองข้อเท่านั้น แต่นี่ 12 แผ่นกระดาษขนาด เอ 4 และเนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับราชวงศ์มากกว่าครึ่งเนื้อหาหรืออาจจะมากกว่านั้น แต่มีคำสำคัญที่ทักษิณใช้ในการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นคำภาษาอังกฤษง่ายๆ เช่น Shining แปลว่า เปล่งปลั่ง โชติช่วง สุกใส และรุ่งโรจน์หรือคำว่า Transform แปลว่า ปฏิรูป เปลี่ยนสภาพ เปลี่ยนแปลง และแปลงสภาพ
ณ ตรงนี้ทักษิณหมายถึงอะไร ขณะนี้เราอยู่ในยุคที่มืดมนหรืออย่างไร ที่จะมืดมนก็คือ ทักษิณ นำทัพเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองมากกว่าอะไรทั้งสิ้น หากไม่มีทักษิณบ้านเมืองคงต้องโชติช่วงชัชวาลแน่นอน เพราะไม่มีการโกงกินบ้านเมือง ไม่ทรยศต่อคำสาบาน ไม่ทรยศต่อชาติหรือทรยศต่อพระเมตตาของในหลวงที่พระราชทานให้ทักษิณนานัปการ ทรงพระราชทานชื่อ ไทคม อันเป็นมงคลยิ่งให้ทักษิณ เสด็จฯ ไปเปิดสถานีรับสัญญาณดาวเทียมให้ทักษิณและอีกมากมาย
ส่วน Transform นั้น ทักษิณหมายความว่าอย่างไร หรือทักษิณจะปฏิรูประบบอะไร หรือทักษิณ ต้องการให้การเปลี่ยนแปลงระบบอะไรที่ขัดขวางทักษิณมากที่สุด
แต่ข้อเท็จจริงของคำตอบเหล่านี้อยู่ในคำสัมภาษณ์ของทักษิณทั้งสิ้น คำสัมภาษณ์ของทักษิณเลวร้ายกว่าคำสัมภาษณ์ของจักรภพ เพ็ญแข นับร้อยเท่า หากเราว่าจักรภพ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว เพียง 1 เท่าของจักรภพ ก็เท่ากับของทักษิณ 100 เท่า
nidd_riddhagni@gmail.com