การให้สัมภาษณ์กับ หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ ประเทศอังกฤษ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ ไทมส์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา นับเป็นการเปิดเผยถึงจิตใต้สำนึกของนักโทษหนีคดีจอมป่วนชาติผู้นี้ ออกมาอย่างล่อนจ้อนอีกครั้ง
ทักษิณ ชินวัตร ยอมรับผ่านรายการวิทยุทางอินเทอร์เน็ต จากบ้านรับรองที่นายฮุนเซนจัดให้ในกัมพูชา เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ว่า เขาพลาด จนน่าเอาหัวโขกพื้น ในการให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่พาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทำให้คนไทยสะเทือนใจอย่างที่สุด แต่ได้โยนความผิดส่วนใหญ่ไปให้หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ที่เขาบอกว่าพาดหัวข่าวได้ “เลวมาก”
ส่วนตัวเขาเองพลาดเพียงเล็กน้อย แค่“ฟังคำถามไม่ฉะฉาน”จึงตอบออกไป ซึ่งหากทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท เขาก็ขอพระราชทานอภัยโทษ(ผ่านรายการวิทยุ)ต่อพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ด้วย และอ้างว่าภายใน 1-2 วัน ทาง “เดอะไทมส์”จะแก้ไขข่าวให้ใหม่
ธาตุแท้ของนักโทษหนีคดีผู้นี้ที่เปิดเผยออกมาจากกรณีดังกล่าวก็คือ ความกะล่อน ปลิ้นปล้อน เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น
หากใครได้อ่านรายละเอียดคำให้สัมภาษณ์แบบถอดเทปที่เว็บไซต์ไทมส์ออนไลน์นำมาเผยแพร่โดยละเอียดทั้ง 12 หน้า ซึ่งคนของทักษิณก็ทำสำเนาไว้ด้วยนั้น ก็จะรู้ว่า คำแก้ตัวที่ว่า “ฟังคำถามไม่ฉะฉาน”นั้น ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
คนที่จบดอกเตอร์จากสหรัฐอเมริกา เป็นอดีตนายกฯ ไทยที่ได้ชื่อว่า “อินเตอร์”มากที่สุด คุยกับฝรั่งมังค่าก็ไม่เคยเห็นใช้ล่าม มีหรือจะฟังคำถามง่ายๆ ของนักข่าวไม่ออก
และคนฉลาดอย่างทักษิณ มีหรือจะไม่รู้จักหาทางเลี่ยง หากฟังคำถามไม่ชัด โดยการ “ไม่ตอบ” หรือให้นักข่าวถามใหม่
แต่กรณีนี้ ทักษิณ ชินวัตร กลับเลือกที่จะตอบ และตอบออกมาอย่างไม่บังควรยิ่ง
คงต้องขอยืมคำพูดของ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ที่พูดไว้ในรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ทางเอเอสทีวี เมื่อวันที่ 11 พ.ย. มาอธิบายเรื่องนี้ว่า
“ก็ในเมื่อใจคนมันชั่ว ไม่ว่าคนถามจะถามอย่างไร คำตอบมันก็ออกมาชั่ว”
ในคำให้สัมภาษณ์ 12 หน้า ยังมีอีกหลายประเด็นที่สะท้อนถึงความกะล่อนปลิ้นปล้อน โกหก หลอกลวง ของหัวโจก “แก๊งตกทองระหว่างประเทศ”รายนี้ อาทิ
-เขาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องตกจากอำนาจว่า ตอนที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี การได้รับความนิยมมากเกินไป และมีประชาชนรักมากเกินไป กลายเป็นปัญหาของเขา
ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ปัญหาของทักษิณ ชินวัตร คือ การฉ้อราษฎร์บังหลวงแบบ “ไอ้เสือปล้น”โดยคนรอบข้างและบริวาร ขณะที่ตัวเขาเองยกระดับการทุจริตให้แนบเนียนยิ่งขึ้น ด้วยการ “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย”
อีกด้านหนึ่ง ก็ซื้อประชาชนด้วยนโยบายประชานิยมแบบ “ขนมอาบยาพิษ” และมีความพยายามจะปกปิดความผิดของตัวเองด้วยการครอบงำองค์กรอิสระ ปิดปากสื่อ
เมื่อทำไม่สำเร็จ จึงถูกประชาชนออกมาขับไล่ ซึ่งแทนที่จะรับฟัง กลับปลุกม็อบของตัวเองออกมาชน จนเกิดความแตกแยกในบ้านเมือง นำไปสู่เงื่อนไขการเกิดรัฐประหารในที่สุด
-ทักษิณ ชินวัตร บอกว่า ขณะนี้เขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อความยุติธรรม สู้เพื่อคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนยากคนจนที่จะต้องได้รับโอกาส แต่การรัฐประหารได้ทำลายความหวังของพวกเขา และ 3 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีแต่เลวร้ายลง ฉะนั้นเขาต้องสู้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับประชาชนที่ควรจะได้รับโอกาสในชีวิต
ขณะที่ข้อเท็จจริงคือ หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 โครงการประชานิยมต่างๆ ที่ ทักษิณอ้างว่าเป็นการให้โอกาสคนยากคนจน เกือบทุกโครงการยังอยู่และได้รับการสานต่อมาจนปัจจุบัน จะยกเลิกก็เพียง “หวยบนดิน” ที่กฤษฎีกาตีความว่าผิดกฎหมาย บางโครงการแค่เปลี่ยนชื่อ บางโครงการปรับให้ประชานิยมมากกว่าเดิม เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค ตอนนี้ทุกโรคไม่ต้องเสียสักบาท
ที่บอกว่า เขาสู้เพื่อความเป็นธรรมของคนส่วนใหญ่นั้น ในข้อเท็จจริงกลับตรงกันข้าม เพราะการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ล้วนมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากวามผิด ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 309 หรือให้กลับไปใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งจะทำให้ มาตรา 309 ถูกยกเลิกโดยปริยาย รวมทั้งกรณี การล่าชื่อประชาชน 3.5 ล้านคน เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ ทักษิณ ชินวัตร
ความจริงมันฟ้องอยู่โทนโท่ ว่า ทักษิณสู้เพื่อคนเสื้อแดง หรือ คนเสื้อแดงสู้เพื่อทักษิณกันแน่
-ทักษิณ อ้างว่า เขาถูกนายฮุนเซนนำไปเปรียบเทียบกับอองซาน ซูจี เพราะเป็นผู้นำประชาธิปไตยเหมือนกัน เคยได้รับเลือกตั้งจากคนส่วนใหญ่ของประเทศเหมือนกัน และถูกทำให้พ้นจากอำนาจโดยคณะรัฐประหารเหมือนกัน โดยอองซาน ซูจี ถูกกักตัวอยู่ในบ้าน แต่ตัวเขาถูก “เตะ”ออกนอกประเทศ
แต่ข้อเท็จจริงคือ อองซาน ซูจี เป็นนักประชาธิปไตยที่ต่อสู้กับเผด็จการมาทั้งชีวิต และไม่เคยหนีไปไหน แม้จะถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมจากเผด็จการทหารพม่า
ขณะที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนักประชาธิปไตยจอมปลอม ที่มาของเขาคือ เป็นอดีตข้าราชการตำรวจที่ลาออกมาทำธุรกิจ และเคยแอบอิงอำนาจเผด็จการเพื่อให้ได้รับสัมปทานดาวเทียม ในยุค “รสช.”ครองเมือง
ในช่วงที่ทักษิณเป็นนายกฯ ของประเทศไทย เขาเคยแสดงออกถึงการสนับสนุนอองซาน ซูจี สักครั้งหรือไม่ ตรงกันข้ามเขากลับแนบแน่นกับคณะทหารพม่า ที่กดขี่บีฑาขบวนการประชาธิปไตยของนางอองซาน ซูจี มาโดยตลอด เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางธุรกิจที่บริษัทในเครือของเขาจะได้รับ
ที่สำคัญคือ คนอย่างทักษิณ ชินวัตร เศรษฐีแสนล้านที่หลบหนีออกนอกประเทศเพื่อหนีคำพิพากษาของศาล แต่กลับโกหกว่าตัวเองถูกเตะออกไป จะมีเกียรติภูมิศักดิ์ศรีเทียบเท่าผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ยืนหยัดสู้กับเผด็จการในบ้านเกิดของตัวเอง อย่างอองซาน ซูจี ได้อย่างไร
-เมื่อถูกถามว่า เขาให้เงินพวกเสื้อแดงเท่าไหร่ ทักษิณบ่ายเบี่ยงว่า คนเสื้อแดงบริจาคเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการชุมนุมกันเอง จึงถูกถามย้ำว่า คุณเป็นมหาเศรษฐี ต้องให้เงินพวกนี้บ้าง ทักษิณอ้างว่า เงินของเขาถูกอายัด
แต่เมื่อถูกต้อนว่า ไม่ถูกอายัดทั้งหมด ยังมีทรัพย์สินบางส่วนอยู่นอกประเทศ ทักษิณ จึงยอมรับว่า มีอยู่แต่ไม่มาก แค่ 200 ล้านดอลลาร์ และเอาไปซื้อบ้านจำนวนหนึ่ง ตอนนี้เหลือ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (3,400 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังบอกว่า กำลังทำธุรกิจ โดยมีเหมืองทอง 10 แห่งในอูกันดา ได้ใบอนุญาตขายล็อตเตอรี่ในอูกันดา ฟิจิ และอังโกลา ล่าสุดกำลังทำสัญญาสัมปทานแร่ทองคำในปาปัวนิวกินี รวมทั้งทำเพชรดิบและเจียรไนเพชร ซึ่งจะทำกำไรเร็วๆ นี้
ซึ่งดูจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริง ในเมื่อมีธุรกิจนับสิบแห่งในทั้งในอาฟริกาและย่านแปซิฟิก จะเอาเวลาที่ไหนไปสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับคนยากจนในประเทศไทย ไหนจะต้องเป็นที่ปรึกษาให้ฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาอีก แล้วยังมีนิการากัว มอนเตเนโกร อีกล่ะ