ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
เหตุบ้านการเมืองช่วงนี้ มีเรื่องชวนให้ขวนขวายหาเกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์
เห็นนักวิเคราะห์การเมืองพูดกันมาก ถึงตัวละครอย่าง “ทักษิณ” – “ชวลิต” – “ฮุนเซน” – “พระยาละแวก” – “ออกญาจักรี”
ลำพัง 3 ชื่อแรก ยังมีชีวิตอยู่ร่วมสมัย ข้อมูลพฤติกรรมและการกระทำ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พอจะตรวจสอบได้ไม่ยาก
แต่ 2 ชื่อสุดท้าย ล้วนเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ล่วงเลยมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้น การจะรู้ว่า “ใครเป็นใคร” คงต้องศึกษาเรียนรู้จากบันทึกประวัติศาสตร์ พงศาวดาร และตำราของท่านผู้รู้ทั้งหลาย แล้วเทียบเคียงดูกับพฤติกรรมของแต่ละคนในสมัยนี้
1) บทกลอนของคุณ “ว.แหวนลงยา” แฟนรายการ “รู้ทันประเทศไทย” ทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี นิวส์ 1 แต่งกลอนถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ส่งผ่านมาทางรายการอยู่เป็นประจำ และช่วงที่มีข่าวทักษิณ-บิ๊กจิ๋ว-ฮุนเซน คุณ ว.แหวนลงยา ได้สะท้อนผ่านบทกลอนอย่างดุดันว่า
“ซ้ำแล้ว และซ้ำเล่า ไล่งับเงา มะงาหรา
หลงโลก กะโหลกกะลา ในหล่มโลภ อันเลวร้าย
โทษผิด ไม่เห็นผิด คุมแค้นคิด สร้างเครือข่าย
กัดกร่อน บ่อนทำลาย ทุ่มทุนทอด ทุกทิศทาง
เล็งร้าย มลายผิด โมหะจริต มาสะสาง
ตื้นต่ำ ในอำพราง ละเลงร้าย ละเลงเมือง
ซ้ำแล้ว และซ้ำเล่า สุมไฟเผา ทุกบทเบื้อง
มุ่งร้าย ระคายเคือง ในคับแคบ ไม่รู้คุณ
สยบยอม พระยาละแวก เอาศักดิ์แลก ต่างลูกสมุน
เสื่อมศักดิ์ เสื่อมสกุล เป็นเศษเสี้ยน สวะสยาม
ออกญาจักรี มากลับชาติ ข้ามภพทาส มาหยาบหยาม
บำเรอพม่า มันฆ่าตาม เปลี่ยนชาติภพ สมคบเขมร
ฉ้อฉล ปล้นแผ่นดิน เบียดบังสิ้น ในหลบเร้น
ขยับเขยื้อน อย่างเลือดเย็น เลือกเซ่นไส้ศึก เยี่ยงออกญา
ชาติสยาม ถูกหยามหมิ่น อับอายฟ้าดิน สิ้นค่า
ขยับดาบอาญาสิทธิ์ มหิทธา เอาเลือดหัว ออกญา มาล้างตีน!”
2) “ออกญาจักรี” เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงในสมัยอยุธยา เป็นคนไทย แต่หันไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากฝ่ายพม่า แล้วช่วงปี พ.ศ. 2112 ที่พม่ายกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายพม่าได้ออกอุบายโดยใช้ “ออกญาจักรี” เป็น “ไส้ศึก”
ทำทีเป็นหนีจากฝ่ายพม่า กลับมาขอสวามิภักดิ์ ทำงานรับใช้กษัตริย์ของแผ่นดินไทย
ฝ่ายไทยตายใจ ด้วยเห็นว่าเป็นคนไทยด้วยกัน คงไม่คิดคดทรยศชาติ คงมีเจตนาจะใช้ความรู้ความสามารถเพื่อชาติบ้านเพื่อแผ่นดินส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว จึงแต่งตั้งให้ “ออกญาจักรี” เป็นถึงผู้บังคับบัญชาการรบป้องกันพระนคร
แต่แล้ว “ออกญาจักรี” ก็ใช้เล่ห์เหลี่ยม กลวิธีต่างๆ นานา เพื่อช่วยเหลือฝ่ายพม่าโจมตีกรุงศรีอยุธยา เช่น ย้ายแม่ทัพที่รบเก่งๆ ไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เพื่อบั่นทอนการป้องกันพระนคร หรือวางแผนร่วมกันกับฝ่ายพม่า เพื่อให้สามารถเคลื่อนพลเข้าโจมตีในพระนครได้สำเร็จ เป็นต้น
ในที่สุด ไทยเราก็เสียกรุงแก่พม่า โดยมี “ไส้ศึก” เป็นคนขายชาติ-ทรยศชาติ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน “ออกญาจักรี” ก็ถูกฝ่ายพม่าหาเรื่องเข่นฆ่า เพราะเห็นว่า แม้ขนาดแผ่นดินเกิดท่านยังทรยศได้ แล้วฝ่ายพม่าจะไว้ใจในตัวคนอย่าง “ออกญาจักรี” ได้อย่างไร
3) “พระยาละแวก” เป็นเจ้าเมืองฝ่ายกัมพูชา
มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยพระนเรศวรมหาราช
การสงครามของไทยสมัยนั้น เมื่อใดที่ต้องไปรบกับฝ่ายพม่า ติดพันศึกอยู่ฝั่งชายแดนด้านตะวันตก พระยาละแวกของกัมพูชาก็มักจะฉวยโอกาสก่อการ ตอดเล็กตอดน้อย นำกองทัพเข้ามากวาดต้อนผู้คนไปเป็นเชลย และโจมตีเมืองชายแดนด้านตะวันออกอยู่เสมอ
ในที่สุด เมื่อเสร็จศึกจากพม่า สมเด็จพระนเรศวรก็ตัดสินใจเคลื่อนทัพสู่กัมพูชา เพื่อจับเอาตัวพระยาละแวกมาทำพิธี “ปฐมกรรม” มิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
พงศาวดารที่ชำระในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวถึงตอนที่พระยาละแวกถูกจับพันธนาการนำมาถวายแด่องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช บรรยายความว่า
“...สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวแย้มพระโอษฐ แล้วมีพระโองการตรัสถามพระยาละแวกว่า ท่านเป็นกษัตริยขัตติยราช บำรุงแผ่นดินกรุงกัมพูชาธิบดี มีกุรุราษฎร์เป็นแว่นแคว้นขัณฑสีมา ฝ่ายกรุงพระมหานครศรีอยุธยาก็มีปัจจันตชนบทเป็นแว่นแคว้น และสองพระนครนี้ก็เป็นราชธานีใหญ่ ถ้าจะใคร่ได้ราชสมบัติในพระนครศรีอยุธยาแผ่เสมามณฑลให้กว้างใหญ่ เหตุไฉนมิยกเป็นพยุหโยธาไปกระทำสงครามให้ต้องทำนองขัตติยราชรณยุทธ์อันเป็นที่บันเทิงหฤทัย กษัตราธิราชแต่ก่อน จึงคอยแต่หงสาวดีมาติดพระนครศรีอยุธยาครั้งใด ก็มีแต่ยกพลไปพลอยซ้ำเติมตีเอาเมืองชนบทประเทศ กวาดเอาอพยพมาเมืองทุกครั้ง ทำดุจกาอันลอบลักฝูงสกุณปักษาฉะนั้น ควรด้วยราชประเพณีและหรือประการใด ก็ครั้งนี้ถึงซึ่งอัปราชัยแก่เราแล้ว ก็จะคิดฉันใดเล่า ให้ว่าไปตามสัตย์ตามจริงจะได้เป็นเยี่ยงอย่างกษัตริย์ไปภายหน้า..
…พระยาละแวกกราบถวายบังคมทูลว่า ซึ่งข้าพระองค์เป็นคนโลภเจตนา มิได้กระทำสงครามตามราชประเพณีกษัตริย์ ไปลักลอบกระทำเสี้ยนหนามแก่พระนครศรีอยุธยานั้น โทษผิดถึงตาย ถ้าพระองค์พระราชทานชีวิตไว้ กรุงกัมพูชาธิบดีจะได้เป็นข้าขัณฑสีมากรุงเทพมหานคร ถ้ามิเลี้ยงก็ก้มหน้าตาย…
…สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวได้ทรงฟังคำพระยาละแวกดังนั้น จึงตรัสว่า เราได้ออกวาจาไว้แล้วว่า ถ้ามีชัยแก่ท่าน เราจะทำพิธีปฐมกรรมเอาโลหิตท่านล้างบาทาเสียให้จงได้ ท่านอย่าอาลัยแก่ชีวิตเลย จงตั้งหน้าหาความชอบในปรโลกนั้นเถิด บุตรภรรยาญาติประยูรวงศ์นั้น เราจะเลี้ยงไว้ให้มีความสุขดุจแต่ก่อน…”
ประวัติศาสตร์หรือตำนานว่าไว้อย่างนี้เองกระมัง คุณ “ว.แหวนลงยา” ถึงได้เกิดความรู้สึกรุนแรงมาก ถึงกับเขียนกลอนทิ้งท้ายไว้ว่า “ขยับดาบอาญาสิทธิ์มหิทธา เอาเลือดหัวออกญา มาล้างตีน”
4) “ออกญาแม้ว-สมเด็จจิ๋ว”
คงไม่ต้องกล่าวอะไรมาก เพราะขณะนี้ ยิ่งเคลื่อนไหว พฤติกรรมยิ่งประจักษ์ชัด
“ทักษิณ-ชวลิต” เคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงของไทย ทั้งคู่เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี และบิ๊กจิ๋วยังเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบกด้วย
ทั้งสองเป็นคนถือสัญชาติไทย
ทักษิณเคยทำธุรกิจโทรคมนาคม หากินกับสัมปทานโทรคมนาคมทั้งในประเทศไทยและในประเทศกัมพูชา โดยวิ่งเต้นเข้าหานักการเมืองและผู้มีอำนาจในกัมพูชา
ธุรกิจของเขาในกัมพูชา เคยได้รับสัมปทานเป็นระยะเวลายาวนานถึง 99 ปี ก่อนจะถูกตรวจสอบโดยฝ่ายกัมพูชา และปรับลดระยะเวลาสัมปทานลงเหลือ 30 ปี
หลังจากนั้น ได้มีความพยายามทำรัฐประหารในกัมพูชา ปี 2537 แต่ไม่สำเร็จ ซึ่งทักษิณและพวกถูกตั้งข้อสงสัยโดยสื่อมวลชนกัมพูชาและต่างประเทศ ว่าอยู่เบื้องหลังสนับสนุนการทำรัฐประหารดังกล่าวหรือไม่ เพียงใด อย่างไรก็ตาม ทักษิณก็มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจและผลประโยชน์ส่วนตัวกับสมเด็จฮุนเซนอย่างเหนียวแน่นและใกล้ชิด
ในขณะเดียวกัน พลเอกชวลิตก็เป็นที่รับรู้ว่ามีความสัมพันธ์กับทักษิณอย่างแน่นเหนียว ตั้งแต่สมัยฮุบพรรคความหวังใหม่ สมัยรัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาท ฯลฯ และพลเอกชวลิตเองก็มีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองการทหารในรอบรั้วชายแดนไทยอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่สมัยเป็น ผบ.ทบ.และนายกรัฐมนตรี
แม้ในขณะนี้ พลเอกชวลิตก็ถูกมองว่ากำลังทำงานการเมืองบางอย่างให้ทักษิณ โดยสมคบหรือเชื่อมโยงกับสายสัมพันธ์ที่ทักษิณมีกับสมเด็จฮุนเซน เคลื่อนไหวการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือกระทบกับเพื่อนบ้าน กลายเป็นปัญหาการเมืองที่กระทบต่อผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศไทยในปัจจุบัน
น่าคิดว่า... ในอดีตนั้น สมเด็จฮุนเซนได้อาศัยราชอาณาจักรไทยที่ให้ความช่วยเหลือเอาไว้มาก แต่ไฉนกลับไปตอบแทนเป็นเรื่องส่วนตัวให้กับทักษิณ
ขณะเดียวกัน ทักษิณเองได้ร่ำรวยส่วนตัวและมีอำนาจ ก็โดยอาศัยสัมปทานสมบัติของแผ่นดินไทยส่วนรวม แต่ไฉนกลับไปสมคบคิดหาผลประโยชน์ส่วนตัวกับฮุนเซน ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติไทยส่วนรวม ถึงขนาดไปเป็นที่ปรึกษาให้กัมพูชา ทั้งๆ ที่ ตนเองล่วงรู้ความลับความมั่นคงของชาติจากการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และก็รู้จุดอ่อน-จุดแข็ง ในการเจรจาเขตแดนและผลประโยชน์มหาศาลระหว่างไทยและกัมพูชามาก่อน เท่ากับเป็นการนำความมั่นคงของชาติไปอยู่ในจุดที่ล่อแหลม
จะแตกต่างอย่างไรกับ “ไส้ศึก” ?
น่าคิดว่า.. จุดจบของคนอย่าง “ออกญาจักรี” และ “พระยาละแวก” ในประวัติศาสตร์ ไม่เพียงพอที่จะเป็นบทเรียนเตือนสติ หรือเป็นแนวทางสอนใจให้กับผู้ใด บ้างเลยหรือ?
5)สุดท้าย.. ฝากให้คนไทยช่วยกันทบทวนคำเตือนที่ปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยส่วนตัวของอดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ “ประเสริฐ นาสกุล” ในคดี “ซุกหุ้น” (อยู่ในหนังสือ “รู้ทันทักษิณ เล่ม 3” )
ครั้งนั้น ท่านวินิจฉัยว่าทักษิณมีความผิด แต่เสียงข้างมากเห็นว่าทักษิณไม่ผิด (ทักษิณจึงได้เป็นนายกฯ ต่อไป) โดยท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ เตือนไว้ว่า
“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว
หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร
ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา
เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้
มิฉะนั้น ผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”