จังหวัดพระนครศรีอยุธยาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเยือนอยู่เสมอ เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงที่ไปสะดวก เที่ยวสนุก โดยอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา อันเป็นมรดกโลกของเรานั้นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของผู้ที่เดินทางมา แต่ช่วงหลังๆ นี้มักมีข่าวสภาพความเสื่อมโทรมและเรื่องการบุกรุกพื้นที่โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์ฯ ไปจนถึงข่าวว่ามรดกโลกชิ้นนี้จะโดนถอดถอนอยู่บ่อยครั้ง ก็ให้เศร้าใจกับการจัดการหน่วยงานต่างๆ ที่ทำงานกันไม่เด็ดขาด แท้จริงแล้วตัวอุทยานประวัติศาสตร์ฯนั้นมีคุณค่ายิ่ง แต่หากคนในพื้นที่ไม่ช่วยกันดูแล มัวแต่ขัดแข้งขัดขา ห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วก็คงยากที่จะมีการจัดการที่ดีได้
บ่นไปบ่นมา “ตะลอนเที่ยว” ที่มาถึงอยุธยาแล้วก็เลยไม่แวะไปถึงใจกลางกรุงเก่า ขอเที่ยวอยู่เพียงแค่ “บางปะอิน” เท่านั้นพอ เพราะที่นี่เขาก็มีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจอยู่มาก ที่เหมาะจะเป็นทริปเที่ยวสั้นๆ แบบเช้าไปเย็นกลับได้เป็นอย่างดี
มาที่บางปะอินแล้วก็ต้องมาชม “พระราชวังบางปะอิน” พระราชวังอันงดงามในอำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พระราชวังเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งในปี พ.ศ.2175 พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดและพระที่นั่งขึ้นในบริเวณที่เสด็จพระราชสมภพ และต่อมาพระราชวังแห่งนี้ก็กลายเป็นที่เสด็จประพาสเพื่อความสำราญของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา ก่อนจะถูกทิ้งร้างหลังเสียกรุงฯ และได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่อีกครั้งในช่วงสมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนกลายเป็นพระราชวังตากอากาศที่งดงาม ด้วยพระที่นั่งที่มีสถาปัตยกรรมทั้งแบบไทยและแบบยุโรป
สัญลักษณ์ของพระราชวังบางปะอินที่หลายๆคนคุ้นตานั้นก็คือ “พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์” พระที่นั่งกลางน้ำทรงปราสาทจตุรมุข จำลองแบบมาจากพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทในพระบรมมหาราชวัง ภายในพระที่นั่งประดิษฐานพระบรมรูปสัมฤทธิ์ของรัชกาลที่ 5 ไว้ ความสวยงามแบบไทยๆ ของพระที่นั่ง ผสมผสานเข้ากับรูปปั้นเทพและเทพีแบบตะวันตกที่อยู่บนหัวเสาราวสะพาน ก็เป็นส่วนผสมที่งามแปลกตา และเป็นอีกหนึ่งมุมถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากนั้นภายในพระราชวังบางปะอินก็ยังมีสิ่งที่น่าชมอย่าง “พระที่นั่งวโรภาษพิมาน” อาคารสไตล์ยุโรป ที่ภายในเป็นท้องพระโรงจัดแสดงศิลปวัตถุต่างๆไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบัลลังก์ที่ประทับของรัชกาลที่ 6 ชุดโต๊ะเก้าอี้สวยงามต่างๆ ภาพวาดสมัยรัชกาลที่ 5 ฯลฯ “หอวิฑูรทัศนา” หอสูง 4 ชั้นที่ถือเป็นหอชมวิวพระราชวังบางปะอินชั้นเยี่ยม นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดขึ้นไปชม “พระที่นั่งเวหาศจำรูญ” ก็เป็นพระที่นั่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ เพราะเป็นพระที่นั่งที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีนสีแดงโดดเด่น ภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบจีนที่วิจิตรงดงามอีกด้วย
หากเดินชมความงดงามของพระราชวังบางปะอินจนทั่วแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ก็ขอว่าอย่าพลาดมาชม “วัดนิเวศธรรมประวัติ” วัดงามที่อยู่บนเกาะบ้านเลนกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงกันข้ามกับพระราชวังบางปะอิน ซึ่งแม้ว่าจะตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำ แต่ที่นี่เขาก็ไม่ใช้เรือข้ามฟาก แต่กลับใช้กระเช้าลอยข้ามน้ำเข้าสู่บริเวณวัด โดยมีพระหรือศิษย์วัดเป็นผู้ควบคุมกระเช้าดูเท่ไม่หยอก
เหตุที่ไม่อยากให้พลาดชมวัดนิเวศธรรมประวัตินี้ก็เนื่องจากว่า วัดนี้มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและงดงามแปลกตา ซึ่งหากใครได้มาเห็นเป็นครั้งแรกคงไม่คิดว่าที่นี่เป็นวัด แต่คงคิดว่าเป็นโบสถ์ฝรั่งเสียมากกว่า เพราะสถาปัตยกรรมภายนอกของพระอุโบสถนั้นเป็นศิลปะแบบโกธิค มีกระจกสีประดับอย่างสวยงาม
วัดนิเวศธรรมประวัตินี้สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อพ.ศ.2419 เพื่อใช้เป็นที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ขณะเสด็จประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยการสร้างวัดแห่งนี้ พระองค์ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้เจ้าพนักงานรับเหมาช่างชาวตะวันตก โดยได้นายโยอาคิม แกรซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวอิตาเลียนมาออกแบบสร้างพระอุโบสถและอาคารหมู่กุฏิทั้งหลายเป็นแบบตะวันตก
ประวัติการก่อสร้างวัดแห่งนี้ได้จารึกไว้ในแผ่นศิลาในพระอุโบสถ โดยได้ระบุว่า “...ซึ่งทรงพระราชดำริให้สร้างโดยแบบอย่างเป็นของชาวต่างประเทศดังนี้ ใช่จะมีพระราชหฤทัยเลื่อมใสนับถือศาสนาอื่นนอกจากพระพุทธศาสนานั้นหามิได้ พระราชดำริให้ในพระประสงค์ จะทรงบูชาพระพุทธศาสนาด้วยของแปลกประหลาด และเพื่อให้อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงชมเล่นเป็นของประหลาด ไม่เคยมีในพระอารามอื่นแลเป็นของมั่นคงถาวร...” เราจึงได้เห็นวัดไทยหน้าตาเหมือนโบสถ์ฝรั่งด้วยประการฉะนี้
แม้เมื่อเดินเข้ามาด้านในพระอุโบสถแล้วก็ยังคงมีกลิ่นอายของโบสถ์ฝรั่ง ตั้งแต่ผนังที่ไม่ได้มีลวดลายจิตรกรรมฝาผนังเหมือนวัดพุทธทั่วไป แต่เป็นลวดลายพรรณพฤกษา บริเวณด้านล่างฐานที่ประดิษฐานพระประธานมีอัศวินในชุดเกราะเหล็กยืนจังก้าถือตะเกียงกันอยู่ด้านละคน สร้างบรรยากาศของความเป็นฝรั่งได้มากทีเดียว และแม้แต่ฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระประธานก็ยังทำคล้ายที่ตั้งไม้กางเขนในโบสถ์คริสต์ ส่วนพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานนั้นนามว่า “พระพุทธนฤมลธรรโมภาส” ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ถัดลงมาประดิษฐานพระนิรันตราย แสดงถึงความเป็นวัดในธรรมยุติกนิกาย
“ตะลอนเที่ยว” นั่งชื่นชมความงดงามของกระจกสีและลวดลายต่างๆ ที่ประดับอยู่บนผนังพระอุโบสถอยู่เป็นนาน เพราะชื่นชมในความงามแปลกตา ก่อนจะออกมาชมสิ่งต่างๆ ด้านนอก ซึ่งบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถจะมีหอประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ พระพุทธรูปยืนปางขอฝน ตรงข้ามกับหอพระคันธารราษฎร์ เป็นหอประดิษฐานพระพุทธศิลาปางนาคปรก พระพุทธรูปสมัยลพบุรี ฝีมือช่างขอมอายุนับพันปี
ส่วนอาคารด้านหลังพระอุโบสถก็ยังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ มีข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ของวัดนำมาจัดแสดงให้ชม เช่น พระพุทธรูปต่างๆ และเครื่องสังเค็ดในงานพระเมรุล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 และพระบรมวงศ์ชั้นสูง ฯลฯ
เที่ยววัดและวังกันมาจนเริ่มเหนื่อยและหิว เพราะฉะนั้นจะเป็นการดีถ้าเราจะเดินทางมาต่อกันที่ “ตลาดโก้งโค้ง บ้านแสงโสม” ตลาดย้อนยุคโบราณที่เพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ก็เริ่มมีเสียงบอกต่อๆกันถึงความน่ารักของตัวตลาด
คำบอกเล่าเกี่ยวกับที่มาของตลาดโก้งโค้งนั้นก็มีอยู่ว่า กรุงศรีอยุธยาซึ่งเคยเป็นราชธานีของไทยมายาวนานถึง 417 ปีนั้น เคยเป็นเมืองท่าและเป็นศูนย์กลางการค้ามาแต่อดีต ซึ่งก็นำรายได้มาสู่กรุงศรีอยุธยามหาศาล ในบริเวณนี้แต่เดิมเป็น “ด่านขนอนหลวง” หรือด่านเก็บภาษีสินค้าที่มากับเรือเดินทะเลหรือเรือที่จะเข้ามาค้าขายในกรุง และยังเป็นที่ชุมนุมซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวไทยและชาวต่างชาติ จนกลายเป็นตลาดใหญ่แห่งหนึ่ง
พ่อค้าแม่ขายจะนำสินค้ามานั่งวางขายบนพื้นอย่างไม่ถือตัว ส่วนคนซื้อก็อ่อนน้อมถ่อมตน ต้องโน้มตัวลงไปเพื่อเลือกซื้อสินค้า เป็นภาพการซื้อขายที่แสดงถึงความอ่อนโยนและเต็มไปด้วยอัธยาศัยไมตรีของคนไทยสมัยก่อน จนเกิดเป็นภาษาชาวบ้านว่า “ตลาดโก้งโค้ง” แต่ต่อมาตลาดแห่งนี้ก็ได้สูญหายไปตามกาลเวลา จนได้มีการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งที่นี่
“ตะลอนเที่ยว” ได้ไปโก้งโค้งดูข้าวของในตลาดมาแล้ว ก็พบว่าที่ตลาดนี้มีเสน่ห์ตรงความเรียบง่าย พ่อค้าแม่ค้าใส่เสื้อม่อฮ่อมกางเกงขาก๊วยสวมงอบเอาของมาขาย ซึ่งข้าวของต่างๆ นั้นก็มีทั้งของกินพวกผักผลไม้สดพื้นบ้าน เช่น มะระ มะเขือ ชะอม ฟักทอง ฝักบัว หัวเผือกหัวมัน มะเฟือง มะม่วง มะละกอ ขนมไทยน่าอร่อยอย่างทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ขนมครก และอาหารไทยรสดี เช่น ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ก็มีให้เลือกซื้อกินด้วยเช่นกัน
และนอกจากของกินแล้วที่นี่ก็ยังขายของเล่น ของใช้ต่างๆ อีกมาก เช่น ภาชนะดินเผาอย่างกระถางต้นไม้ หรือตุ๊กตาดินเผาประดับสวนก็มีให้เลือกหลายแบบ เครื่องจักสานนานาชนิดในราคาไม่แพง ของตกแต่งทำจากไม้เอาไว้จัดสวนน่ารักๆ ก็มีเยอะ ยังไม่นับถ้วยชามรามไหแบบเก่าๆสมัยที่เราเคยใช้เมื่อตอนเด็กๆ และข้าวของที่ระลึกต่างๆอีกมากมายที่วางขายให้เราได้โก้งโค้งเลือกซื้อกัน เป็นการปิดท้ายความประทับใจในการมาท่องเที่ยวที่บางปะอินแห่งนี้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
“พระราชวังบางปะอิน” ตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเลน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) ตรงไปมุ่งหน้าสู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วแยกซ้ายเข้าอำเภอบางปะอิน (308) ตรงไปประมาณ 7 ก.ม. ก็จะถึงพระราชวัง ซึ่งเปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. ส่วน “วัดนิเวศธรรมประวัติ” จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวัง สามารถมาขึ้นกระเช้าได้บริเวณด้านหลังลานจอดรถของพระราชวังบางปะอิน และการเดินทางไปยัง “ตลาดโก้งโค้ง” จากพระราชวังบางปะอิน ให้วิ่งมาตามทางหลวงหมายเลข 3477 (บางปะอิน-วัดพนัญเชิง หรือถนนบางปะอินสายใน) วิ่งผ่านสถานีรถไฟบางปะอินไปประมาณ 6-7 ก.ม. ตัวตลาดจะอยู่ทางซ้ายมือ เปิดบริการ09.00-16.00น. ตั้งแต่วันพฤหัส-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สอบถามโทร0-3572-8286, 08-9107-8443