xs
xsm
sm
md
lg

ชี้กองทุนรวมพระเอกปี 53 แบงก์ใบโพธิ์ลั่นรั้งแชมป์ AUM สูงสุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ธนาคารไทยพาณิชย์ชี้ กองทุนรวมรับบทพระเอกปี 53 เงินลงทุนไหลเข้าธุรกิจประเภทนี้มากขึ้น หลังปีนี้ดึงเงินจากระบบเงินฝากไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท พร้อมลั่นครองแชมป์เอยูเอ็มรวมสูงสุดต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งด้านสิ้นค้า ข้อมูล และความใกล้ชิดนักลงทุน ขณะเดียวกันคาดอีก 6-9 เดือน ดอกเบี้ยไทยอาจปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป เหตุเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแม้ไม่ชัดเจนมากนัก

นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ว่า ในช่วง 6-9 เดือนต่อจากนี้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับขึ้น และจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในส่วนเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวตามไปด้วย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่เริ่มมีการฟื้นตัว โดยจะมีผลต่อเนื่องไปยังอัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีทิศทางที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงไม่มีการฟื้นตัวที่ชัดเจนและพร้อมเพรียงกันมากนัก ดังนั้นในสถานการณ์ดังกล่าวแม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น แต่จะมีลักษณะอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า

นอกจากนี้ นายอดิศร ยังกล่าวาอีกว่า ในปี 2553 เงินฝากของธนาคารพาณิชย์จะถูกดึงออกเพื่อไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านหุ้นกู้ของภาคเอกชนและพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุการถือครองระยะยาวและให้ผลตอบแทนในอัตราสูงมากขึ้น โดยดูได้จากปี 2552 ที่การระดมเงินทุนของแต่ละแห่งส่งผลให้เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหายไปประมาณ 1 แสนล้านบาท

“หลายคนจะเห็นได้ว่าในทางกลับกันการลงทุนทางด้านกองทุนรวมทั้งระบบเติบโตขึ้นกว่า 2 แสนล้านบาท จากการที่ผู้ฝากเงินโยกเงินออกจากบัญชีเงินฝากที่อยู่ตามธนาคารต่างๆเพื่อไปลงทุนในกองทุนต่างๆเพราะได้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ถึงแม้สภาพคล่องระบบธนาคารพาณิชย์จะลดลง ตัว L/D(สัดส่วนสินเชื่อตอ่เงินฝาก) ทั้งระบบยังคงอยู่ในระดับ 80-90% ซึ่งถือว่ามีสภาพคล่องในระบค่อนข้างมาก ดังนั้นต้องรอประเมินว่าในปีหน้ารัฐบาลจะระดมทุนอีกเท่าใด แม้ว่าตัวเลขในขณะนี้ยังไม่มากนักและอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้” นายอดิศร กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมของธนาคารที่ดูแลโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ไทยพาณิชย์นั้น ขณะนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาด(มาร์เก็ตแชร์) เป็นอันดับ 1 ในประเภทขนาดสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ของกองทุนรวม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 23% มากกว่าคู่แข่งอันดับ 2 อย่างธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ซึ่งอยู่ที่ 22%

ส่วนในปี 2553 ธนาคารคาดว่าจะยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์ในตำแหน่งดังกล่าวได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธนาคารมีการให้ความรู้ในการลงทุนให้กับลูกค้าที่แน่นนอนและกว้างขวาง ประกอบกับความใกล้ชิดของพนักงานขาย และ ลูกค้า ซึ่งแม้ว่าเครื่องมือของธนาคารจะยังไม่ทันสมัยเท่ากับคู่แข่ง แต่หากประเมินทางด้านข้อมูล ยังเชื่อว่าธนาคารมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง

"สิ้นปีนี้ทางธนาคารเชื่อว่าขนาดเอยูเอ็มของกองทุนรวมน่าจะอยู่ในระดับเกิน 4 แสนล้าน หรือ อาจจะถึง 4.2 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ธนาคารสามารถทำได้ 3.9 แสนล้านบาท เนื่องกองทุนรวมที่เป็น LTFและRMF ก็น่าจะได้อีก 8,000 ล้านบาทใน 2 เดือนนี้ ส่วนหุ้นกู้เอกชนอีก 8,000-10,000 ล้านบาท เพราะในแต่ละปีจะมีเม็ดเงินใหม่มาซื้อกองทุน LTF ประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ธนาคารสามารถทำได้ 3,000 ล้านบาท โดยถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และ เป็นปกติของลูกค้าที่จะให้ความสนใจซื้อกองทุนดังกล่าวในช่วงเดือนธ.ค. ซึ่งฐานเดิมของกองทุน LTF อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่ง LTF แข่งขันกันด้านกองทุนพันธบัตรเกาหลี ซึ่งปีนี้เราปล่อยได้เป็นอันดับ 1 ทั้งๆที่ไตรมาสแรกยังขายไม่ได้เลย เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจยังดูไม่ค่อยดี พอเราเปิดขายอีกครั้งในไตรมาส 2 ก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.1 แสนล้านบาท หรือ คิดเป็น 60-70% ของที่ขายทั้งหมด ซึ่ง 90% เป็นลูกค้าของธนาคาร” นายอดิศร กล่าว

นายอดิศร กล่าวอีกว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารย้งมีแผนที่เพิ่มทางเลือกอื่นให้กับนักลงทุน และคาดว่าภายในเดือนนี้จะสามารถเปิดขายกองทุนหุ้นกู้เอกชนเกรดดี ตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป อายุ 4-5 ปี มาทำกองทุนรวมผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ซึ่งตอนนี้เตรียมไว้ 4-5 กอง มูลค่ากองละ 4,000-5,000 พันล้านบาท และวันที่ 16 พ.ย.นี้ ธนาคารเตรียมออกกองทุน China ของตลาดหุ้นที่เซี่ยงไฮ้ โดยออกให้เฉพาะลูกค้าไพรเวทเท่านั้น

ส่วนแผนงานในปี 2553 นายอดิศร กล่าวว่า ธนาคารเตรียมออกกองทุนประเภทอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 3 - 4 กอง อัตราส่วนผลตอบแทน 8-10% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันมีกองทุนประเภทดังกล่าวอยู่ 2 กอง ได้แก่ QH Property Fund และ CPNRF ดังนั้น ธนาคารคาดว่าจะออกกองทุนประเภท warehouse เพิ่มเติมขึ้นมา ทั้งนี้ คาดว่ากองทุนประเภทดังกล่าวจะโต 1 - 1.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่มีอยู่ 2 หมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ธนาคารยังให้คำแนะนำด้านการลงทุนว่า นักลงทุนควรแบ่งเงินออกเป็น 3 กอง อันดับแรกเป็นการลงทุนระยะยาว แนะนำลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการลงทุนในระยะกลาง แนะนำลงทุนในหุ้นกู้เอกชน หรือ พันธบัตรรัฐบาลอายุประมาณ 5 ปี ด้านการลงทุนระยะสั้น แนะนำลงทุนในกองทุน money market ที่มีสาพคล่องสูงเป็นต้น

"โชติกา"ตั้งเป้าสิ้นปีโต 4 แสนล้าน

ด้าน นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท (AUM) ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3.84 แสนล้านบาท โดยในช่วงที่เหลือนี้คาดว่าจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 4 แสนล้านบาทได้ จากการสินทรัพย์ที่ขายส่วนเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) ที่ลงทุนในศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้า ซึ่งไม่ได้นำมารวมกับมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด เพราะว่ายังอยู่ในระหว่างการจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนนั่นเอง

นอกจากนี้ คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์จะสามารถปรับขึ้นจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ได้ออกแคมเปญ “Cool Concert & Cool Upgrade” ออกมากระตุ้นยอดขายในสองกองทุนดังกล่าว ซึ่งในปัจจุบันยอดขายกองทุนรวมหุ้นระยะยาวของบริษัทอยู่ที่ 1 พันล้านบาทเท่านั้น จากยอดปกติที่จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาประมาณ 8 – 9 พันล้านบาทต่อปี เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนยังไม่ได้เข้ามาซิ้อกองทุนมากนัก

ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน เพื่อผลักดันมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกู้เอกชนชั้นดีที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต เรตติ้ง) ตั้งแต่ A+ ขึ้นไป จำนวน 4 บริษัท โดยมีมูลค่าโครงการรวม 8 พันล้านบาท หรือประมาณ 4 กองทุน อายุโครงการประมาณ 5 ปีครึ่ง โดยจะจ่ายอัตราผลตอบแทนแบบขั้นบันไดตลอดอายุโครงการ

โดยในปีที่ 1 และ 2 จะทำการจ่ายดอกเบี้ยที่ 3%ต่อปี ปีที่ 3 และ 4 จะจ่ายในอัตรา4%ต่อปี ปีที่ 5 จะจ่ายในอัตรา 5%ต่อปี และในครึ่งปีสุดท้ายจะทำการจ่ายในอัตรา6%ต่อปี ใน5 ปีแรกจะจ่ายเงินตอบแทนทุกไตรมาส ส่วนในครึ่งปีหลังจะจ่ายครั้งเดียว คาดว่าจะสามารถเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ประมาณวันที่ 10 – 17 พฤศจิกายน 2552 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 1 หมื่นบาท

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทยังได้ทำการเปิดขายกองทุนที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลีใต้จำนวน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ฟอร์เรน โนท 6M33 (SCBFRN6M33) มูลค่าโครงกา ร 2,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.25%ต่อปี และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ฟอร์เรน โนท 1Y36 (SCBFRN1Y36) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน คาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.75%ต่อปี โดยได้เปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) และครั้งเดียวพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 5 – 11 พฤศจิกายน 2552 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น