ท่ามกลางกระแสร้ายของวิถีการเมืองไทย แต่เมื่อวันเพ็ญเดือน 12 วันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้อันเป็นวันประเพณีลอยกระทง คนไทยพากันมีความสุขอย่างที่สุดเกินพรรณนา เมื่อได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกเพื่อทรงลอยประทีปที่ท่าน้ำโรงพยาบาลศิริราช พร้อมกับพระราชวงศ์ และประชาชนของพระองค์ ที่ต่างออกมาลอยทุกข์กันทั้งประเทศ
คนไทยทั้งประเทศได้เห็นพระพักตร์อันสดใส และรอยแย้มพระสรวลเป็นที่ประจักษ์ว่า โรคาพยาธิที่กำลังเบียดเบียนพระองค์อยู่นั้น พ่ายแพ้ต่ออำนาจบารมีอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ทรงพระเจริญชั่วกาลนาน
และคงจะทำให้นักเล่นหุ้นต่างชาติเลิกตื่นตูมตามกระแสที่คนชั่วแสวงโอกาส สร้างข่าวอัปมงคลเพื่อประโยชน์ของใครคนหนึ่งหรือหลายคน จึงขอสาปแช่งให้ยมบาลเอาโทษคนเหล่านี้
แต่ความสลดใจยังอยู่ที่พฤติกรรมของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าขณะที่ครองฐานะนี้สร้างความล่มจมให้ประเทศชาติมาแล้ว เพราะความเขลาเบาปัญญาในการดำเนินกลยุทธ์ทางการเงินสู้กับ จอร์จ โซรอส แต่สู้ไม่ได้ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียเงินทุนสำรองนับแสนๆ ล้านบาท
การเดินทางไปสยบ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นั้นเป็นเรื่องเสียหายระยะยาว ซึ่งเชื่อว่านักยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศย่อมรู้ดีว่าเขมรต้องการอะไร และนักธุรกิจค่ายระบอบทักษิณต้องการอะไร
ไม่ต้องคิดลึกซึ้ง แต่ลักษณะการแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าการที่ ฮุนเซน ดำเนินกลยุทธ์สงครามการเมืองข้ามชาติ ก็เพียงหวังว่าระบอบทักษิณจะกลับมาเป็นใหญ่โดยวิถีประชาธิปไตยของไทย เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะการเลือกตั้งและเป็นรัฐบาล เขมรจะได้ผลประโยชน์ในการเจรจาเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดนอันผลเป็นที่ยิ่งใหญ่ของเขมร ทั้งพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร โดยเฉพาะสามารถดึงเอายูเนสโกเข้ามาเป็นองค์กรบีบบังคับไทยอนุญาตให้เขมรตัดถนนเข้าประเทศไทยเพื่อให้สามารถขึ้นเขาพระวิหารได้สะดวก แต่ฝ่ายเขมรและต่างชาติเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยจะตกเป็นของเขมรฝ่ายเดียว
ส่วนพื้นที่ทะเลทั้งเขตเศรษฐกิจทางทะเล 200 ไมล์ทะเล และเกาะกูดซึ่งเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติทั้งในน้ำและใต้ทะเล เช่น การประมงและแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งหากว่าจัดการให้ลักษณะเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมแบบเดียวกับพื้นที่ JDA บริเวณปากอ่าวไทยซึ่งไทยกับมาเลเซียพัฒนาร่วมกันครั้งสมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพิจารณาเชิงภูมิศาสตร์และอุตสาหกรรมแล้วไทยได้เปรียบ เพราะท่อก๊าซมาขึ้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สามารถใช้ประโยชน์ก๊าซที่มีต้นทุนขนส่งน้อย และสามารถควบคุมมลพิษได้
การที่ฮุนเซน กล้าเชิญและแต่งตั้งทักษิณ ซึ่งต้องโทษในไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว โดยฮุนเซน อ้างว่าเก่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นการตบหน้าระบบการเมืองและกระบวนการยุติธรรมของไทย และที่เป็นเช่นนี้ได้นั้นเป็นการสร้างความสะใจให้กับคนเขมร ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ชอบคนไทย ซึ่งเห็นได้จากการเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยใน พ.ศ. 2546 ด้วยเรื่องเล็กน้อย แต่รัฐบาลฮุนเซนปล่อยให้รุนแรงขั้นเผาสถานทูตไทยตามหลักการทูตสากล คือ แผ่นดินไทย ซึ่งคนเขมรมีความแค้นมาแต่เดิมตามประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่า
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา พระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 7 ในปี 1974 ยกกองทัพไปตีนครธมและมีชัยชนะเหนือเมืองหลวงเขมรโบราณ ทั้งยังกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งขนทรัพย์สมบัติกลับมากรุงศรีอยุธยาอย่างมากมายอันเป็นธรรมเนียมบำเหน็จสงคราม เป็นผลให้อาณาจักรพระนครธมสิ้นสุดอย่างสิ้นเชิง เพราะทำให้เขมรต้องย้ายเมืองหลวงและเปลี่ยนวงศ์กษัตริย์กันวุ่นวาย จนไม่อาจจะเชื่อมต่อกับยุคพระนครของเขมรได้เลย และทำให้เขมรมีความอ่อนแอเป็นเมืองขึ้นไทยบ้าง เวียดนามบ้าง และท้ายสุดก็เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
การที่ฮุนเซน กระทำการเช่นนี้ก็เป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำที่สามารถสำแดงความเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยและคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างกล้าหาญสะใจ ซึ่งจะทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับบ้านเมือง เพื่อที่จะครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 10 ปี จึงรวมว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีเขมรประมาณ 33 ปี ซึ่งยังไม่เคยมีผู้นำคนใดประสบความสำเร็จเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
แต่เท่านี้ยังไม่พอ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เปิดประเด็นเดือดขึ้นมาอีก ด้วยการดำริสถาปนานครรัฐปัตตานี หากว่าพรรคเพื่อไทยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพราะเมื่อประธานพรรคประกาศนโยบายเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์พรรคทันที และหวังคะแนนเสียงในสี่จังหวดชายแดนภาคใต้
ยุทธศาสตร์นี้อันตรายอย่างมหันต์ เพราะคำว่า “นครรัฐ” City-State กินความหมายลึกซึ้งเชิงรัฐศาสตร์ ถือว่าเป็นประเทศอิสระซึ่งมีบูรณภาพดินแดน ประกอบด้วยนครไม่อยู่ในอาณัติการปกครอง หรือไม่มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลใด เช่น นครวาติกัน
แนวคิดนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยที่นับถือพุทธ และประชาชนชาวไทยที่นับถืออิสลาม ที่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแยกตัวเอง เพราะหากเป็นเช่นนี้คนไทยนับถือพุทธ คริสต์ และศาสนาอื่นๆ ก็จะอพยพออกจากจังหวัดปัตตานีกันหมด ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นรุนแรงในห้วง พ.ศ. 2548 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.ณพล บุญทับ เคยบรรยายที่โรงแรมดุสิตธานี ว่ามีประชาชนคนไทยนับถือพุทธ 400,000 คนใน 1.35 ล้านคนไทยที่นับถืออิสลาม อาศัยใน 4 จังหวดชายแดนภาคใต้ แต่ 100,000คน ได้อพยพทิ้งถิ่นฐานเรียบร้อยแล้วจนหมู่บ้านหลายหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านร้าง นับหมื่นๆ ครอบครัวยอมทิ้งเรือกสวนไร่นาออกจากพื้นที่เพราะแรงกดดันของพวกหัวรุนแรงหยิบมือเดียว และหากว่าเป็นนครรัฐปัตตานีจะเหลือคนไทยนับถือพุทธอีกกี่คนที่จะดำรงความเป็นไทยไว้ในดินแดนไทย
หากว่าเป็นนครรัฐปัตตานีตามดำริของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งกำลังดำเนินกลยุทธ์ให้ทักษิณในการที่จะกลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกเพื่อหวังฟอกตัวเอง โดย พล.อ.ชวลิต อาจจะกำลังต่อรองกับอำนาจรัฐหรืออิทธิพลอื่นๆ เพื่อปลดแอกโทษอาชญากรรมของทักษิณ อยู่ เพราะหากว่าโทษอื่นๆ ของทักษิณน้อยลง เรื่องถูกจำคุก 2 ปี ก็เรื่องเล็กที่จะขออุทธรณ์ต่อรองเป็นอย่างอื่น เช่น การเคยรับราชการ เคยเป็นนายกรัฐมนตรี และเคยเป็นที่รักของคนหลายคน
สูตรอำพรางของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ชอบใช้ชี้นำให้เห็นว่าเป็นเรื่องความสมานฉันท์ เป็นเรื่องประชาธิปไตย เป็นเรื่องมนุษยธรรมหรืออื่นๆ เป็นดังนี้
ยืดหยุ่น + อะลุ่มอล่วย + ได้อย่างเสียอย่าง = สันติภาพ ซึ่งดูแล้วเหมือนดี แต่หากศึกษาดีๆ แล้วจะรู้ว่าแต่ละหลักการมีวาระซ่อนเร้น เช่น ความยืดหยุ่นก็ดีจะกลายเป็นได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา หลักความอะลุ่มอล่วยจะกลายเป็นความขลาดของรัฐบาลไทยในอนาคต และได้อย่างเสียอย่างนั้นก็จะไม่มีโอกาสเป็นเช่นนั้นเลย เพราะจะเสียทั้งหมด คือการสูญเสีย 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่หรือจะเป็นสันติภาพได้อย่างไร จึงอยากจะให้คนไทยทุกคนได้พิจารณากันครับ
คนไทยทั้งประเทศได้เห็นพระพักตร์อันสดใส และรอยแย้มพระสรวลเป็นที่ประจักษ์ว่า โรคาพยาธิที่กำลังเบียดเบียนพระองค์อยู่นั้น พ่ายแพ้ต่ออำนาจบารมีอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ทรงพระเจริญชั่วกาลนาน
และคงจะทำให้นักเล่นหุ้นต่างชาติเลิกตื่นตูมตามกระแสที่คนชั่วแสวงโอกาส สร้างข่าวอัปมงคลเพื่อประโยชน์ของใครคนหนึ่งหรือหลายคน จึงขอสาปแช่งให้ยมบาลเอาโทษคนเหล่านี้
แต่ความสลดใจยังอยู่ที่พฤติกรรมของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าขณะที่ครองฐานะนี้สร้างความล่มจมให้ประเทศชาติมาแล้ว เพราะความเขลาเบาปัญญาในการดำเนินกลยุทธ์ทางการเงินสู้กับ จอร์จ โซรอส แต่สู้ไม่ได้ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียเงินทุนสำรองนับแสนๆ ล้านบาท
การเดินทางไปสยบ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นั้นเป็นเรื่องเสียหายระยะยาว ซึ่งเชื่อว่านักยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศย่อมรู้ดีว่าเขมรต้องการอะไร และนักธุรกิจค่ายระบอบทักษิณต้องการอะไร
ไม่ต้องคิดลึกซึ้ง แต่ลักษณะการแลกเปลี่ยนได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าการที่ ฮุนเซน ดำเนินกลยุทธ์สงครามการเมืองข้ามชาติ ก็เพียงหวังว่าระบอบทักษิณจะกลับมาเป็นใหญ่โดยวิถีประชาธิปไตยของไทย เพราะหากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะการเลือกตั้งและเป็นรัฐบาล เขมรจะได้ผลประโยชน์ในการเจรจาเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดนอันผลเป็นที่ยิ่งใหญ่ของเขมร ทั้งพื้นที่บริเวณเขาพระวิหาร โดยเฉพาะสามารถดึงเอายูเนสโกเข้ามาเป็นองค์กรบีบบังคับไทยอนุญาตให้เขมรตัดถนนเข้าประเทศไทยเพื่อให้สามารถขึ้นเขาพระวิหารได้สะดวก แต่ฝ่ายเขมรและต่างชาติเป็นผู้จัดการผลประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่ได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยจะตกเป็นของเขมรฝ่ายเดียว
ส่วนพื้นที่ทะเลทั้งเขตเศรษฐกิจทางทะเล 200 ไมล์ทะเล และเกาะกูดซึ่งเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรธรรมชาติทั้งในน้ำและใต้ทะเล เช่น การประมงและแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งหากว่าจัดการให้ลักษณะเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมแบบเดียวกับพื้นที่ JDA บริเวณปากอ่าวไทยซึ่งไทยกับมาเลเซียพัฒนาร่วมกันครั้งสมัย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งพิจารณาเชิงภูมิศาสตร์และอุตสาหกรรมแล้วไทยได้เปรียบ เพราะท่อก๊าซมาขึ้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา สามารถใช้ประโยชน์ก๊าซที่มีต้นทุนขนส่งน้อย และสามารถควบคุมมลพิษได้
การที่ฮุนเซน กล้าเชิญและแต่งตั้งทักษิณ ซึ่งต้องโทษในไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว โดยฮุนเซน อ้างว่าเก่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นการตบหน้าระบบการเมืองและกระบวนการยุติธรรมของไทย และที่เป็นเช่นนี้ได้นั้นเป็นการสร้างความสะใจให้กับคนเขมร ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ชอบคนไทย ซึ่งเห็นได้จากการเผาสถานเอกอัครราชทูตไทยใน พ.ศ. 2546 ด้วยเรื่องเล็กน้อย แต่รัฐบาลฮุนเซนปล่อยให้รุนแรงขั้นเผาสถานทูตไทยตามหลักการทูตสากล คือ แผ่นดินไทย ซึ่งคนเขมรมีความแค้นมาแต่เดิมตามประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่า
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา พระมหากษัตริย์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาองค์ที่ 7 ในปี 1974 ยกกองทัพไปตีนครธมและมีชัยชนะเหนือเมืองหลวงเขมรโบราณ ทั้งยังกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งขนทรัพย์สมบัติกลับมากรุงศรีอยุธยาอย่างมากมายอันเป็นธรรมเนียมบำเหน็จสงคราม เป็นผลให้อาณาจักรพระนครธมสิ้นสุดอย่างสิ้นเชิง เพราะทำให้เขมรต้องย้ายเมืองหลวงและเปลี่ยนวงศ์กษัตริย์กันวุ่นวาย จนไม่อาจจะเชื่อมต่อกับยุคพระนครของเขมรได้เลย และทำให้เขมรมีความอ่อนแอเป็นเมืองขึ้นไทยบ้าง เวียดนามบ้าง และท้ายสุดก็เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส
การที่ฮุนเซน กระทำการเช่นนี้ก็เป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำที่สามารถสำแดงความเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยและคนไทยส่วนใหญ่ได้อย่างกล้าหาญสะใจ ซึ่งจะทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับบ้านเมือง เพื่อที่จะครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกอย่างน้อย 10 ปี จึงรวมว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีเขมรประมาณ 33 ปี ซึ่งยังไม่เคยมีผู้นำคนใดประสบความสำเร็จเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์โลก
แต่เท่านี้ยังไม่พอ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เปิดประเด็นเดือดขึ้นมาอีก ด้วยการดำริสถาปนานครรัฐปัตตานี หากว่าพรรคเพื่อไทยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพราะเมื่อประธานพรรคประกาศนโยบายเช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์พรรคทันที และหวังคะแนนเสียงในสี่จังหวดชายแดนภาคใต้
ยุทธศาสตร์นี้อันตรายอย่างมหันต์ เพราะคำว่า “นครรัฐ” City-State กินความหมายลึกซึ้งเชิงรัฐศาสตร์ ถือว่าเป็นประเทศอิสระซึ่งมีบูรณภาพดินแดน ประกอบด้วยนครไม่อยู่ในอาณัติการปกครอง หรือไม่มีฐานะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลใด เช่น นครวาติกัน
แนวคิดนี้เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยที่นับถือพุทธ และประชาชนชาวไทยที่นับถืออิสลาม ที่ไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแยกตัวเอง เพราะหากเป็นเช่นนี้คนไทยนับถือพุทธ คริสต์ และศาสนาอื่นๆ ก็จะอพยพออกจากจังหวัดปัตตานีกันหมด ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นรุนแรงในห้วง พ.ศ. 2548 ซึ่งขณะนั้น พล.อ.ณพล บุญทับ เคยบรรยายที่โรงแรมดุสิตธานี ว่ามีประชาชนคนไทยนับถือพุทธ 400,000 คนใน 1.35 ล้านคนไทยที่นับถืออิสลาม อาศัยใน 4 จังหวดชายแดนภาคใต้ แต่ 100,000คน ได้อพยพทิ้งถิ่นฐานเรียบร้อยแล้วจนหมู่บ้านหลายหมู่บ้านเป็นหมู่บ้านร้าง นับหมื่นๆ ครอบครัวยอมทิ้งเรือกสวนไร่นาออกจากพื้นที่เพราะแรงกดดันของพวกหัวรุนแรงหยิบมือเดียว และหากว่าเป็นนครรัฐปัตตานีจะเหลือคนไทยนับถือพุทธอีกกี่คนที่จะดำรงความเป็นไทยไว้ในดินแดนไทย
หากว่าเป็นนครรัฐปัตตานีตามดำริของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ซึ่งกำลังดำเนินกลยุทธ์ให้ทักษิณในการที่จะกลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกเพื่อหวังฟอกตัวเอง โดย พล.อ.ชวลิต อาจจะกำลังต่อรองกับอำนาจรัฐหรืออิทธิพลอื่นๆ เพื่อปลดแอกโทษอาชญากรรมของทักษิณ อยู่ เพราะหากว่าโทษอื่นๆ ของทักษิณน้อยลง เรื่องถูกจำคุก 2 ปี ก็เรื่องเล็กที่จะขออุทธรณ์ต่อรองเป็นอย่างอื่น เช่น การเคยรับราชการ เคยเป็นนายกรัฐมนตรี และเคยเป็นที่รักของคนหลายคน
สูตรอำพรางของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ชอบใช้ชี้นำให้เห็นว่าเป็นเรื่องความสมานฉันท์ เป็นเรื่องประชาธิปไตย เป็นเรื่องมนุษยธรรมหรืออื่นๆ เป็นดังนี้
ยืดหยุ่น + อะลุ่มอล่วย + ได้อย่างเสียอย่าง = สันติภาพ ซึ่งดูแล้วเหมือนดี แต่หากศึกษาดีๆ แล้วจะรู้ว่าแต่ละหลักการมีวาระซ่อนเร้น เช่น ความยืดหยุ่นก็ดีจะกลายเป็นได้คืบเอาศอก ได้ศอกเอาวา หลักความอะลุ่มอล่วยจะกลายเป็นความขลาดของรัฐบาลไทยในอนาคต และได้อย่างเสียอย่างนั้นก็จะไม่มีโอกาสเป็นเช่นนั้นเลย เพราะจะเสียทั้งหมด คือการสูญเสีย 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นี่หรือจะเป็นสันติภาพได้อย่างไร จึงอยากจะให้คนไทยทุกคนได้พิจารณากันครับ