xs
xsm
sm
md
lg

ฎีกาทรพี

เผยแพร่:   โดย: ว.ร.ฤทธาคนี

สังคมรัฐศาสตร์รู้ดีว่าสงครามการเมืองปะทุขึ้นตั้งแต่วันที่ทักษิณหมดอำนาจลง แต่ที่เกิดขึ้นก็เพราะพฤติกรรมของทักษิณเอง ไม่มีใครเขาไปทำอะไรให้ การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 นั้น เป็นเพียงปฏิกิริยาย้อนกลับเพราะสังคมรับไม่ได้กับการย่ำยีปรัชญาประชาธิปไตย ด้วยการอาศัยหลักการประชาธิปไตยพื้นฐานของทักษิณเพียงแค่ “ฉันชนะการเลือกตั้ง” นั้นไม่พอ เพราะปรัชญาประชาธิปไตยบริสุทธิ์แล้วจะต้องมีจิตสำนึกของตัวเองอยู่ในกรอบของความชอบธรรม และจริยธรรมการเมืองที่ดีงาม ไม่ใช่เมื่อเริ่มต้นทำงานการเมืองก็ต้องขึ้นศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ถ้าให้เข้าใจประชาธิปไตยง่ายที่สุดก็คือ การเสียสละอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีวาระการคิดทุจริต คอร์รัปชันซ่อนเร้น หรือทรยศต่อคำสาบานที่ได้ให้ไว้กับประชาชน และต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายครั้งหลายครา

กรรมเป็นปรัชญาสำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา เพราะการเวียนว่าย เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นผลพวงของกิเลสตัณหาที่มีโทสะ โลภะ และโมหะเป็นอาวุธเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น กฎแห่งกรรมเป็นปรัชญาสากล เมื่อใครกระทำความชั่วใดๆ และในระดับความเข้มข้นใดก็ตาม ย่อมได้รับกรรมนั้นทั้งสิ้น

ครั้งเมื่อทักษิณมองเห็นหนทางสู่ยอดกิเลสของมนุษย์ตามกฎของมาสโลว์ (Maslow’s Human Needs Principle) 5 ขั้น ที่มนุษย์แต่ละคนมีความต้องการหรือปรารถนาแตกต่างกัน บางคนแสวงโมกขธรรมอันเป็นความบริสุทธิ์สูงสุด แต่บางคนต้องการมีอำนาจอยู่เหนือคนอื่น เหนือระบบ และได้รับการยกย่องว่าเป็นเลิศประเสริฐศรีกว่าคนทั้งปวง

เขาจึงสร้างภาพ สร้างบท และวิธีโกหกเพื่อให้ตัวเองได้มาซึ่งความปรารถนาสูงสุดของเขาคือ ความต้องการมีอำนาจอยู่เหนือคนอื่น ได้แก่ การมีอำนาจอิทธิพลเลื่อน ลด ปลด ย้ายข้าราชการอย่างไร้คุณธรรมจนหมู่ข้าราชการยอมสยบ ต้องการอยู่เหนือระบบด้วยการออกกฎหมายเอื้ออำนวยให้ตัวเองมีอำนาจในการประกอบกรรมชั่ว คดโกงเชิงการเมืองและธุรกิจ เอาเปรียบคนอื่นที่อยู่ในระบบ ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะทำลายสถาบันอันเป็นระบบบริสุทธิ์เหนือตัวทักษิณเอง และในการยกตนข่มท่านนั้น ทักษิณสร้างภาพวางตัวว่าเป็นนักวิชาการ เป็นนักบุญ เป็นนักบริหาร เป็นนักการเมืองชั้นดีระดับสากล และเป็นนักยุทธศาสตร์ชั้นเลิศ แต่ความจริงแล้วเป็นคนลวงโลก

ยุทธศาสตร์การหาเสียง สร้างภาพ และบารมีทางการเมืองด้วยการโกหกเรื่องยุทธศาสตร์เอาชนะความจน แม้คาร์ล มาร์กซ์ก็ยังเอาชนะไม่ได้เลยเพราะยังไม่บรรลุโสดาบัน ยุทธศาสตร์เอาชนะยาเสพติด แต่ปรากฏว่ามีการฆ่าตัดตอนทำให้กระบวนการสืบสวนหาต้นต่อถูกทำลายเพราะหลายกรณีอาจจะเป็นบูมเมอแรงบินย้อนกลับมาหาพรรคพวกตัวเองก็ได้ และยุทธศาสตร์การขจัดทุจริตคอร์รัปชันซึ่งปรากฏว่า ทักษิณต้องสูญเสียเพื่อนร่วมตั้งอดีตพรรคไทยรักไทยคือ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ที่ทำงานปราบคอร์รัปชัน แต่ถูกสาวกที่อยู่ในวงจรอุบาทว์ขจัดออกจากพรรคไทยรักไทยในปี 2548

มีนักวิชาการเปรียบเทียบวิธีการเล่นการเมืองของทักษิณกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการโหดของนาซี-เยอรมัน ในห้วง ค.ศ. 1933-1945 เหมือนกัน แต่อยากให้ลองวิเคราะห์แนวคิดของฮิตเลอร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือของเขาเองชื่อ ความดิ้นรนของข้าพเจ้า (Mein Kampf) เกี่ยวกับ “การโกหก” ว่า

“ในการโกหกที่มีลักษณะโคตรโกหกนั้น จะมีพลังเฉพาะสูงมากในการสร้างความเชื่อถือ เพราะว่ามวลชนส่วนใหญ่กระหายที่จะได้ยินได้ฟัง จึงง่ายที่จะดูดดื่ม และดื่มด่ำรับเอาเรื่องโคตรโกหกไว้ในส่วนลึกของจิตใจ อันเป็นธรรมชาติตามอารมณ์ดิบของมนุษย์ กว่าการที่จะถูกโน้มน้าวด้วยสัจธรรมความจริง” และขณะที่ ออตโต ฟอน มิสมาร์ก (Otto Von Bismarck) รัฐบุรุษเยอรมันที่สร้างอาณาจักรไรช์ที่ 2 ใน ค.ศ. 1871 กล่าวว่า “คนเรามักจะไม่โกหกมากนัก หลังจากกลับจากการล่าสัตว์ หรือขณะอยู่ในสนามรบ แต่จะโกหกก่อนจะมีการเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องปกติเรื่องหนึ่ง”

ทักษิณโกหกอย่างหน้าด้านๆ เรื่องจะขจัดภัยทุจริตในวงการเมือง และราชการให้ได้ภายใต้การนำของเขา แต่อิเหนาเป็นเอง ในห้วง พ.ศ. 2546-47 มีองค์กรอิสระกว่าร้อยถูกหลอกให้นึกว่าทักษิณจะจริงใจในเรื่องปราบคอร์รัปชัน ซึ่งดร.วิษณุ เครืองามรู้เรื่องนี้ดี โดยรู้จักกันว่าเป็น “แผนยุทธศาสตร์เพื่อเสริมความเข้มแข็งในการเอาชนะสงครามทุจริตคอร์รัปชันสำหรับประเทศไทยในช่วงระยะเวลา 5 ปี” แต่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ขณะเป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรี บอกว่าทำไม่ได้เพราะว่าจะกระทบกระเทือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของอดีตพรรคไทยรักไทย

แต่เรื่องที่คนไทยรับไม่ได้คือ เหตุการณ์ห้วงสงกรานต์เดือดเลือดพล่าน 2552 ในห้วง 5-15 เมษายน 2552 ทักษิณโฟนอินเข้ามาโจมตี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีว่าเป็นพวกหัวโบราณ มีอาการปัญญาเสื่อม และผูกขาดความจงรักภักดี ทำการขู่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ว่าจะเป็นวันสุดท้ายหากอยู่บ้านในวันที่ 8 เมษายน 2552 นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะขนคน 3-5 แสนคนเข้ามาทำสงครามกลางเมืองเผด็จศึกอำมาตย์ โดยอ้างว่า ถ้าเราเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายใต้อำมาตยาธิปไตยได้ในวันที่ 8 เมษายน เศรษฐกิจจะดีขึ้นโดยน้ำมือทักษิณ และโจมตีขบวนการตุลาการภิวัฒน์เป็นระบบที่สร้าง 2 มาตรฐาน ควรเลิกใช้ได้แล้ว มีวลีที่เป็นโจทย์กล่าวโทษทักษิณได้ชั่วชีวิตก็คือ

“ไม่อยากให้ถอยหลัง 8 เมษายน พาลูกพาหลานออกมาให้หมด เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการแทรกแซงของอำมาตย์ การแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม การปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 จะเป็นการปฏิวัติครั้งสุดท้ายของไทย เพื่อความมั่งคั่งวันที่ 8 เมษายน ออกมาให้เต็มที่ ไม่รู้ว่าผมจะโผล่มาตรงไหน”

และจากนั้นแผนอุบาทว์ก็เริ่มขึ้นตามประกาศิตของทักษิณ มีการข่มขู่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อย่างต่อเนื่อง มีการป่วนการจราจรในเมืองหลวงโดยเน้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของรถประจำทางหลายสาย ด้วยการใช้รถแท็กซี่รับจ้างมาปิดกั้นทางเดินรถ มีการไล่ล่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ทั้งที่พัทยาและที่กรุงเทพฯ โดยหวังจับนายกรัฐมนตรีเป็นตัวประกัน มีการขู่ด้วยการบุกรุกเข้าไปในย่านที่พักของครอบครัวนายกรัฐมนตรี และเริ่มใช้กำลังสร้างเหตุจลาจลในวันสงกรานต์ ด้วยการเผารถประจำทาง ปาระเบิดโมโลตอฟ คอกเทล ทำลายมัสยิดและยิงคนตาย ทุกอย่างมีหลักฐานที่ประชาคมนับหมื่นบันทึกไว้

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องทรพีทั้งสิ้น ทรพีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ทรพีต่อประชาชนที่ครั้งหนึ่งเคยชื่นชมเพราะหลงเชื่อคารมคมปากทักษิณที่กลอกหูแต่เรื่องดีๆ ก่อนการเลือกตั้ง 2544

เรื่องราวของทรพีมีอยู่ว่า ทรพีเป็นลูกทรพาซึ่งเดิมเป็นยักษ์เฝ้าประตูวังชั้นในของพระอิศวร ต่อมากระทำผิดวินัยยักษ์เล่นชู้กับหญิงรับใช้พระอิศวร จึงถูกสาปเป็นควายเผือก จะพ้นคำสาปได้ก็ต่อเมื่อถูกลูกชายฆ่าตาย ทรพาจึงฆ่าลูกชายเสียสิ้น แต่นางควายตัวหนึ่งมีลูกชายจึงนำไปฝากเทวดาเลี้ยง เป็นควายสีดำชื่อ ทรพีเติบใหญ่มีเท้าเท่าพ่อ จึงเหิมเกริมท้าทรพารบ และเอาชนะได้จึงฆ่าทรพาผู้เป็นพ่อเสีย ทรพาจึงพ้นคำสาป ต่อมาทรพีคะนองในฤทธิ์เดชของตนไปท้าพระอิศวรมาสู้จึงถูกพระอิศวรสาปให้ไปสู้กับพาสีถูกพาสีฆ่าตาย

จึงเกิดสำนวนว่า ลูกทรพีหมายถึงลูกอกตัญญูให้โทษแก่บิดามารดา เช่นเดียวกันกับควายทรพีที่ฆ่าพ่อตัวเอง

ทักษิณเคยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่ไม่รู้จักพอ หลงอำนาจ ละโมบเงินทอง และหลงตัวเองว่าเป็นใหญ่กว่าใครๆ ทั้งหมด จึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้กลับมามีอำนาจใหญ่ ด้วยการดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ด้วยแผนการอุบาทว์ทั้งปวง โดยเฉพาะที่กระทำการทรยศต่อคำสาบาน ทรยศต่อแผ่นดินเกิด ทรยศต่อประชาชนที่เคยสนับสนุน ทรยศต่อพระมหากษัตริย์ที่ตนเคยสาบานว่าจะเป็นคนซื่อสัตย์ รักชาติบ้านเมือง

ดังนั้น การถวายฎีกาโดยสาวกที่กำลังรวบรวมรายชื่อนั้น เป็นการยากที่จะล่วงรู้ได้ว่าเป็นจริงหรือโกหก เพราะชีวิตของทักษิณอยู่ในโลกของการโกหกทั้งสิ้น และสร้างภาพให้ออกมาว่ามีคนนับแสนลงชื่อร่วมถวายฎีกา ใครจะพิสูจน์ได้นอกจากสร้างน้ำหนักจิตวิทยาเท่านั้น

การถวายฎีกาเป็นพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าแผ่นดิน ที่มีการร้องขอพระเมตตาจากพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย ที่พ่อขุนรามคำแหงซึ่งมีการปกครองแบบธรรมาธิปไตย หรือแบบพ่อกับลูก ผูกกระดิ่งเพื่อให้พสกนิกรร้องทุกข์ และในสมัยสุโขทัยมีกฎหมายฉบับหนึ่งเรียกว่า กฎหมายร้องทุกข์คือ ประชาชนมีอำนาจร้องทุกข์แต่เรื่องร้องทุกข์ต้องพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงและสมควร หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่

จึงเป็นการสมควรหรือไม่ที่ทักษิณจะใช้หน้าม้ามาฎีกาแทนตัว ด้วยหวังประโยชน์ทางยุทธศาสตร์การเมืองหลายทาง เช่น การแสดงถึงบารมีตนที่มีคนมากมายสนับสนุน ก้าวล่วงพระราชอำนาจหรือบีบคั้นพระมหากษัตริย์ ทั้งๆ ที่เป็นกรรมทางการเมืองที่ตัวเองก่อขึ้นและในฐานะเป็นคนการเมืองนั้น คนไทยให้อภัยไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นตัวอย่างเลว จึงไม่ควรสร้างบรรทัดฐานเช่นนี้

สิ่งที่ประชาชนควรจะกระทำก็คือ การต่อต้านการถวายฎีกาของทักษิณ และสาวกเพราะเป็นการโกหกหลอกลวง สร้างภาพ สร้างยุทธศาสตร์การเมืองที่ลึกล้ำซับซ้อน แต่ขอให้รู้ว่ามีคนจำนวนมากรู้ทัน และยอมไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องประกาศเป็นศัตรูทางการเมืองอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการก้าวล่วงพระราชอำนาจ
กำลังโหลดความคิดเห็น