ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญยิ่ง ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ การแสดงตัวเป็น “เจ้าภาพ” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ นับเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงการก้าวกระโดดของพัฒนาการทางการเมืองของประเทศไทย ที่แต่ไหนแต่ไรมา ประชาชนต้องเป็นผู้ตาม เป็นผู้ถูกกำหนด แต่มาครั้งนี้ ประชาชนได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้กำหนดเสียเอง
นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ จึงอยู่ที่ “ประชาชนเป็นผู้กำหนด” การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้น จักต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คือภาพรวมรวบยอดของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึก ค่านิยมต่างๆ ของสังคมไทยต่อไปอีกมากมาย ถักทอกันเข้าเป็นประเทศไทยยุคใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางวัตถุและจิตใจ เกิดความศิวิไลซ์รอบด้านบนผืนแผ่นดินไทย
อันเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของ “ตัวกำหนด” ทางประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนจากกลุ่มอำนาจตัวแทนผลประโยชน์คนกลุ่มน้อย มาเป็นอำนาจรวมหมู่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย
ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์ แสดงตัวเป็น “เจ้าภาพ” เป็น “ผู้กำหนด” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยแล้ว เหตุการณ์จะดำเนินไปในรูปใด ใครจะเป็นผู้สนองตอบหรือแสดงผล รับรองอำนาจกำหนดนี้
ในทัศนะของผม เหตุการณ์หรือรูปแบบการต่อสู้จะดำเนินและพัฒนาคลี่คลายขยายตัวไปตามการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเหตุปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนผู้แสดงผล ซึ่งหลักๆ ก็คือมวลมหาชนชาวไทยที่ “รับรู้” และ “เข้าใจ” บทบาท เจตนารมณ์ และ “อุดมการณ์” การเคลื่อนไหวต่อสู้ ก็จะแสดงออกถึงความพร้อมที่จะสนับสนุนหรือเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อสู้ ในรูปแบบที่เหมาะสมเสมอ ในทุกขั้นตอน
นั่นหมายถึงว่า เมื่อการเคลื่อนไหวต่อสู้พัฒนายกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การสนองตอบหรือ “การแสดงผล” ก็จะยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ รูปแบบที่ปรากฏก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
จากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการต่อสู้อย่างยืดเยื้อ 193 วันในปี 2551 รูปแบบการต่อสู้แบบสันติอหิงสา จุดเทียนปัญญา และเอาธรรมนำหน้า สามารถปลุกประชาชนชาวไทยทั้งประเทศตื่นตัวขึ้นมาต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ แล้วยกระดับไปสู่การต่อสู้เพื่อกำจัดการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ มีการก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรฯ ไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ จนกระทั่งนำไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในปี 2552 ขยายขอบข่ายการต่อสู้ไปในทุกๆ ด้าน ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา
ดังนั้น จึงคาดหมายได้ว่า เมื่อใดที่การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดำเนินไปถึงขั้นที่จะต้อง “เผด็จศึก” เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือพรรคการเมืองในระบอบทักษิณและกลุ่มทุนสามานย์อื่นๆ ในสนามเลือกตั้ง ตามระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มวลมหาชนก็จะ “แสดงผล” ออกมาด้วยการพร้อมใจกันไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ อันเป็นพรรคการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
หากการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยตามแนวคิดทฤษฎี “การเมืองใหม่” และตามแนวทาง “สันติอหิงสา” ดำเนินไปได้จนถึงจุดนั้น ชัยชนะของประชาชนก็จะปรากฏเป็นจริงตามขั้นตอนในระบบรัฐสภา แต่หากการต่อสู้ตามแนวคิดทฤษฎี และแนวทางดังกล่าวไม่อาจดำเนินไปได้จนถึงที่สุด เกิดอุปสรรคขัดขวางจนต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี เช่น กลุ่มอำนาจการเมืองเก่าไม่ยอมรับอำนาจการเมืองใหม่ หันไปใช้ความรุนแรง คุกคาม ทำร้าย ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ด้วยวิธีการป่าเถื่อนทุกรูปแบบ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จำเป็นต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง
ตามหลักยึดของพันธมิตรฯ ที่ว่า “ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง”
เมื่อนั้น “การแสดงผล” ของมวลมหาชน ก็ย่อมต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย นั่นคือ การเข้าร่วมการต่อสู้กับพันธมิตรฯ ห้ำหั่นอำนาจการเมืองเก่าให้สิ้นซาก ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด ด้วยพลานุภาพของมวลมหาชนอย่างแท้จริง
ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงความจริงว่า พันธมิตรฯ กับมวลมหาชนมีความเชื่อมโยงกัน สัมพันธ์กัน เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในที การขับเคลื่อนขบวนการการเมืองภาคประชาชนในแต่ละขั้นตอน ในแต่ละเรื่อง จะส่งผลทันทีต่อมวลมหาชน โดยผ่านสายสัมพันธ์สำคัญๆ เช่น สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี สื่อวิทยุ และสิ่งพิมพ์ในเครือเอเอสทีวี/ผู้จัดการ รวมทั้งเครือข่ายจัดตั้งในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ สาขาพรรคการเมืองใหม่ และร้านค้าของเอเอสทีวี (เอเอสทีวีชอป) ที่กำลังผุดขึ้นในจังหวัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว
มองให้เห็นเป็นภาพ อุปมาเหมือนกับจักรยานสองล้อ ล้อหน้าคือพันธมิตรฯ ล้อหลังคือมวลมหาชน ทั้งสองล้อเชื่อมสัมพันธ์กันโดยสายโซ่ สื่อเอเอสทีวี พรรคการเมืองใหม่ ร้านเอเอสทีวีชอป ก็คือสายโซ่ การขับเคลื่อนของจักรยานก็เท่ากับการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ
ขอขยายภาพต่ออีกหน่อย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ นั่นคือ สิ่งที่เป็น “แรงถีบ-ปั่น” ให้จักรยานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็คือ “อุดมการณ์” ร่วมกันของชาวพันธมิตรฯ ที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของมวลมหาชนอย่างแท้จริง
อุดมการณ์พันธมิตรฯ ปัจจุบันก็คือ “การเมืองใหม่”
ด้วยเหตุนี้ การสื่อให้มวลมหาชนเข้าใจเรื่องการเมืองใหม่ การประกาศนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ การก่อตั้งเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ หรือสาขาพรรคการเมืองใหม่ การพัฒนาสื่อในเครือเอเอสทีวี วิทยุชุมชน รวมไปถึงการขยายตัวของร้านเอเอสทีวีชอป เป็นต้น จึงเป็นภารกิจจำเป็นพื้นฐานของขบวนการการเมืองภาคประชาชน เพื่อสร้างความพร้อมทางด้านความคิดอุดมการณ์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในการเผชิญหน้ากับการต่อต้าน ขัดขวางต่างๆ นานา บนเส้นทางการต่อสู้กับอำนาจการเมืองเก่า ดังที่ชาวสหภาพการรถไฟฯ และชาวบ้านมาบตาพุดกำลังเผชิญอยู่
ชัยชนะของการต่อสู้แต่ละครั้ง จะเสริมความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เข้มแข็งเกรียงไกรให้แก่ขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
พันธมิตรฯ ก็จะเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของมวลมหาชนในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
นัยสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ จึงอยู่ที่ “ประชาชนเป็นผู้กำหนด” การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้น จักต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
นี่คือภาพรวมรวบยอดของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึก ค่านิยมต่างๆ ของสังคมไทยต่อไปอีกมากมาย ถักทอกันเข้าเป็นประเทศไทยยุคใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองทั้งทางวัตถุและจิตใจ เกิดความศิวิไลซ์รอบด้านบนผืนแผ่นดินไทย
อันเป็นการย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของ “ตัวกำหนด” ทางประวัติศาสตร์ ที่เปลี่ยนจากกลุ่มอำนาจตัวแทนผลประโยชน์คนกลุ่มน้อย มาเป็นอำนาจรวมหมู่ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย
ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตัดสินใจก้าวขึ้นสู่เวทีประวัติศาสตร์ แสดงตัวเป็น “เจ้าภาพ” เป็น “ผู้กำหนด” การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยแล้ว เหตุการณ์จะดำเนินไปในรูปใด ใครจะเป็นผู้สนองตอบหรือแสดงผล รับรองอำนาจกำหนดนี้
ในทัศนะของผม เหตุการณ์หรือรูปแบบการต่อสู้จะดำเนินและพัฒนาคลี่คลายขยายตัวไปตามการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของเหตุปัจจัยและเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนผู้แสดงผล ซึ่งหลักๆ ก็คือมวลมหาชนชาวไทยที่ “รับรู้” และ “เข้าใจ” บทบาท เจตนารมณ์ และ “อุดมการณ์” การเคลื่อนไหวต่อสู้ ก็จะแสดงออกถึงความพร้อมที่จะสนับสนุนหรือเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อสู้ ในรูปแบบที่เหมาะสมเสมอ ในทุกขั้นตอน
นั่นหมายถึงว่า เมื่อการเคลื่อนไหวต่อสู้พัฒนายกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การสนองตอบหรือ “การแสดงผล” ก็จะยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ รูปแบบที่ปรากฏก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
จากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงการต่อสู้อย่างยืดเยื้อ 193 วันในปี 2551 รูปแบบการต่อสู้แบบสันติอหิงสา จุดเทียนปัญญา และเอาธรรมนำหน้า สามารถปลุกประชาชนชาวไทยทั้งประเทศตื่นตัวขึ้นมาต่อต้านการใช้อำนาจของรัฐบาลหุ่นเชิดในระบอบทักษิณ แล้วยกระดับไปสู่การต่อสู้เพื่อกำจัดการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ มีการก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรฯ ไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ จนกระทั่งนำไปสู่การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในปี 2552 ขยายขอบข่ายการต่อสู้ไปในทุกๆ ด้าน ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา
ดังนั้น จึงคาดหมายได้ว่า เมื่อใดที่การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดำเนินไปถึงขั้นที่จะต้อง “เผด็จศึก” เอาชนะอย่างเบ็ดเสร็จเหนือพรรคการเมืองในระบอบทักษิณและกลุ่มทุนสามานย์อื่นๆ ในสนามเลือกตั้ง ตามระบบรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มวลมหาชนก็จะ “แสดงผล” ออกมาด้วยการพร้อมใจกันไปลงคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ อันเป็นพรรคการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
หากการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยตามแนวคิดทฤษฎี “การเมืองใหม่” และตามแนวทาง “สันติอหิงสา” ดำเนินไปได้จนถึงจุดนั้น ชัยชนะของประชาชนก็จะปรากฏเป็นจริงตามขั้นตอนในระบบรัฐสภา แต่หากการต่อสู้ตามแนวคิดทฤษฎี และแนวทางดังกล่าวไม่อาจดำเนินไปได้จนถึงที่สุด เกิดอุปสรรคขัดขวางจนต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธี เช่น กลุ่มอำนาจการเมืองเก่าไม่ยอมรับอำนาจการเมืองใหม่ หันไปใช้ความรุนแรง คุกคาม ทำร้าย ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ด้วยวิธีการป่าเถื่อนทุกรูปแบบ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็จำเป็นต้องปรับแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีการต่อสู้ใหม่ ให้เหมาะสมกับสภาพที่เป็นจริง
ตามหลักยึดของพันธมิตรฯ ที่ว่า “ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง”
เมื่อนั้น “การแสดงผล” ของมวลมหาชน ก็ย่อมต้องปรับเปลี่ยนตามไปด้วย นั่นคือ การเข้าร่วมการต่อสู้กับพันธมิตรฯ ห้ำหั่นอำนาจการเมืองเก่าให้สิ้นซาก ด้วยมาตรการที่เด็ดขาด ด้วยพลานุภาพของมวลมหาชนอย่างแท้จริง
ทั้งหมดที่ได้กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นถึงความจริงว่า พันธมิตรฯ กับมวลมหาชนมีความเชื่อมโยงกัน สัมพันธ์กัน เป็นเนื้อเดียวกันอยู่ในที การขับเคลื่อนขบวนการการเมืองภาคประชาชนในแต่ละขั้นตอน ในแต่ละเรื่อง จะส่งผลทันทีต่อมวลมหาชน โดยผ่านสายสัมพันธ์สำคัญๆ เช่น สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี สื่อวิทยุ และสิ่งพิมพ์ในเครือเอเอสทีวี/ผู้จัดการ รวมทั้งเครือข่ายจัดตั้งในรูปแบบต่างๆ เช่น กลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ สาขาพรรคการเมืองใหม่ และร้านค้าของเอเอสทีวี (เอเอสทีวีชอป) ที่กำลังผุดขึ้นในจังหวัดต่างๆ อย่างรวดเร็ว
มองให้เห็นเป็นภาพ อุปมาเหมือนกับจักรยานสองล้อ ล้อหน้าคือพันธมิตรฯ ล้อหลังคือมวลมหาชน ทั้งสองล้อเชื่อมสัมพันธ์กันโดยสายโซ่ สื่อเอเอสทีวี พรรคการเมืองใหม่ ร้านเอเอสทีวีชอป ก็คือสายโซ่ การขับเคลื่อนของจักรยานก็เท่ากับการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรฯ
ขอขยายภาพต่ออีกหน่อย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ นั่นคือ สิ่งที่เป็น “แรงถีบ-ปั่น” ให้จักรยานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ก็คือ “อุดมการณ์” ร่วมกันของชาวพันธมิตรฯ ที่สะท้อนความเรียกร้องต้องการของมวลมหาชนอย่างแท้จริง
อุดมการณ์พันธมิตรฯ ปัจจุบันก็คือ “การเมืองใหม่”
ด้วยเหตุนี้ การสื่อให้มวลมหาชนเข้าใจเรื่องการเมืองใหม่ การประกาศนโยบายของพรรคการเมืองใหม่ การก่อตั้งเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ หรือสาขาพรรคการเมืองใหม่ การพัฒนาสื่อในเครือเอเอสทีวี วิทยุชุมชน รวมไปถึงการขยายตัวของร้านเอเอสทีวีชอป เป็นต้น จึงเป็นภารกิจจำเป็นพื้นฐานของขบวนการการเมืองภาคประชาชน เพื่อสร้างความพร้อมทางด้านความคิดอุดมการณ์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ในการเผชิญหน้ากับการต่อต้าน ขัดขวางต่างๆ นานา บนเส้นทางการต่อสู้กับอำนาจการเมืองเก่า ดังที่ชาวสหภาพการรถไฟฯ และชาวบ้านมาบตาพุดกำลังเผชิญอยู่
ชัยชนะของการต่อสู้แต่ละครั้ง จะเสริมความเป็นปึกแผ่นแน่นหนา เข้มแข็งเกรียงไกรให้แก่ขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ
พันธมิตรฯ ก็จะเป็นที่ยอมรับ เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของมวลมหาชนในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ