การเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ ได้สร้างจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ให้แก่ประเทศไทย เป็นการสร้างโอกาสทองทางประวัติศาสตร์ให้แก่ประชาชนชาวไทย ที่สามารถระเบิดพลังกายและสมองออกมาได้ในรูปแบบต่างๆ กระตุ้นกงล้อประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว แตกต่างไปจากที่ดำเนินไปในห้วงเวลาปกติชนิดฟ้ากับดิน
ที่เป็นไปได้เช่นนี้ ก็เพราะความพยายามทางอัตวิสัย อันหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสติปัญญา ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ประสิทธิภาพและความสามารถ รวมไปถึงจิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ทุกๆ อย่างที่รวมกันเข้าเป็น “ความพยายามอย่างยิ่งยวดและการตัดสินใจสูงสุดที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์จากเก่าไปสู่ใหม่” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ สอดคล้องกับความจำเป็นของประวัติศาสตร์ไทยยุคปัจจุบัน ในการที่จะฝ่าข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย ขัดขวางการพัฒนาชีวิตของประชาชนชาวไทย ซึ่งเฉพาะหน้านี้ อุปสรรคใหญ่สุดก็คือรัฐบาลหุ่นเชิด ตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนสามานย์ ระบอบทักษิณ แบบฉบับของการเมืองน้ำเน่า ฉ้อฉล และปล้นชาติปล้นประชาชน
การรวมพลังทั้งชาติ เป็นพลังรวมเพียงหนึ่งเดียว ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ จึงจะสามารถทำลายอำนาจฉ้อฉล โกงกินทุกรูปแบบนี้ลงไปได้ แล้วสร้างการเมืองใหม่ การเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงขึ้นแทนที่
นั่นก็คือ การรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยทุกเพศวัย ทุกสาขาอาชีพ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กระนั้น ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหวต่อสู้กับพรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์ที่มีพรรคพลังประชาชน (ปัจจุบัน) เป็นแกน เพื่อขับไล่พวกเขาให้พ้นไปจากวงจรอำนาจ ล้มเลิกการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ สร้างการเมืองใหม่ขึ้นแทนที่นั้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จักต้องปฏิบัติให้ได้ในหลักการสามประการ ดังนี้
1. สร้างและปลูกฝังจิตสำนึก “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ”
2. ปฏิบัติการเสริมสร้าง “อำนาจประชาชน”
3. สถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจทุนสามานย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หลักยึด 3 ประการนี้ ได้ก่อรูปขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นปี 2549 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 เมื่อประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ในการต่อสู้ขับไล่รัฐบาลตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์หรือระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ เพื่อขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ ได้ประกอบกันเข้าเป็นความพร้อมทางอัตวิสัย ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมไทยยุคใหม่ อย่างมีพลวัตและเชื่อมโยงกันเข้าอย่างเป็นบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ อันเป็นหลักประกันเบื้องต้น ในการปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ในการล้างการเมืองเก่าและสร้างการเมืองใหม่ให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้โดยพื้นฐาน
ประชาชนชาวไทยจะได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในการนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ผู้เข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชนวันนี้ จักต้องเสริมสร้างและปลูกฝังจิตสำนึกหรือแนวคิดเบื้องต้นว่า “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” โดยความหมายก็คือประชาชนชาวไทยเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยครั้งใหญ่นี้ มิใช่ทหารหรือกลุ่มอำนาจเฉพาะอื่นใด เช่นกลุ่มทุน
กลุ่มทหารและกลุ่มทุนได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทย เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาคนไทยส่วนใหญ่ได้ ตรงกันข้าม กลับเป็นผู้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากคนจน ทั้งในเมืองและในชนบท
ภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่จึงตกสู่ภาคประชาชน อนาคตของประเทศไทยอยู่ในอุ้งมือของปวงชนชาวไทยแล้ว
นี่คือช่องโอกาสทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเคลื่อนไหวของประชาชนชาวไทย ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยอำนาจประชาชนอันยิ่งใหญ่ที่ได้สั่งสมกันมา จึงไม่เพียงแต่จะต้องโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์เท่านั้น แต่ยังต้องใช้เงื่อนไขพิเศษทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนี้ “ก้าวข้าม”ขั้นตอนการใช้อำนาจของกลุ่มอำนาจต่างๆ ในสังคมไทยให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการสถาปนาอำนาจประชาชนให้เป็นอำนาจนำเหนืออำนาจกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงตลอดไป
การสร้างอำนาจประชาชนให้เข้มแข็งเหนือกว่าอำนาจอื่นใดในสังคมไทย จึงมีนัยสำคัญยิ่งยวด และมีความเป็นไปได้สูง เพราะสอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงของประเทศไทย
ณ วันนี้ เมื่อกลุ่มทหารและกลุ่มทุน ตกที่นั่งเดียวกัน คือไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวไทย การแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนจึงมีความชอบธรรมเหนือกว่ากลุ่มอำนาจอื่นใดในการสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นในประเทศไทย และด้วยแรงสนับสนุนของประชาชนทั้งประเทศ ก็จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้ “ตามความต้องการ” ของประชาชนอีกด้วย
นี่คือสัจธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงของสังคมไทยวันนี้ ชั่วโมงนี้
ความเป็นจริงนี้ ได้เป็นฐานรองรับสำนึกของความเป็น “เจ้าภาพ” ในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยครั้งใหญ่นี้เป็นอย่างดี
ดังนั้น คำว่า “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” จึงมิใช่สิ่งเลื่อนลอย พูดกันเลื่อนเปื้อน
แต่เป็น “สัจธรรม” สะท้อนสถานภาพของขบวนการการเมืองภาคประชาชนในกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งนี้ และสอดคล้องอย่างยิ่งกับกฎเกณฑ์ทั่วไปของการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติที่ว่า มวลชนคือผู้สร้างประวัติศาสตร์
ยิ่งกว่านั้น ในการเมืองใหม่ ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง เป็นผู้มีสิทธิจัดการกับทรัพยากรและโภคทรัพย์ต่างๆ ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ สะท้อนถึงนัยของการเมืองใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง
เพราะมีแต่เช่นนี้เท่านั้น ประชาชนชาวไทยจึงจะปลดแอกตนเองออกจากสภาวะยากจน ล้าหลัง และความคับข้องหมองใจได้อย่างสิ้นเชิง พลิกสถานภาพทางสังคมจากผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ผู้ถูกลิดรอนโอกาส มาเป็นผู้มีอิสรเสรีภาพ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง สามารถร่วมแรงร่วมใจกันสร้างประเทศไทยใหม่ให้เจริญรุ่งเรือง และอยู่ร่วมกันกับกลุ่มชนผู้มีทรัพย์สมบัติพัสถานทั่วไปได้อย่างกลมกลืน ในสังคมที่สงบร่มเย็นตลอดไป
ที่เป็นไปได้เช่นนี้ ก็เพราะความพยายามทางอัตวิสัย อันหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งสติปัญญา ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์ ประสิทธิภาพและความสามารถ รวมไปถึงจิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ทุกๆ อย่างที่รวมกันเข้าเป็น “ความพยายามอย่างยิ่งยวดและการตัดสินใจสูงสุดที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์จากเก่าไปสู่ใหม่” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนครั้งนี้ สอดคล้องกับความจำเป็นของประวัติศาสตร์ไทยยุคปัจจุบัน ในการที่จะฝ่าข้ามอุปสรรคต่างๆ ที่ขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทย ขัดขวางการพัฒนาชีวิตของประชาชนชาวไทย ซึ่งเฉพาะหน้านี้ อุปสรรคใหญ่สุดก็คือรัฐบาลหุ่นเชิด ตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนสามานย์ ระบอบทักษิณ แบบฉบับของการเมืองน้ำเน่า ฉ้อฉล และปล้นชาติปล้นประชาชน
การรวมพลังทั้งชาติ เป็นพลังรวมเพียงหนึ่งเดียว ภายใต้การนำที่เป็นเอกภาพ จึงจะสามารถทำลายอำนาจฉ้อฉล โกงกินทุกรูปแบบนี้ลงไปได้ แล้วสร้างการเมืองใหม่ การเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงขึ้นแทนที่
นั่นก็คือ การรวมตัวกันเข้าของปวงชนชาวไทยทุกเพศวัย ทุกสาขาอาชีพ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กระนั้น ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของขบวนการการเมืองภาคประชาชนของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเคลื่อนไหวต่อสู้กับพรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์ที่มีพรรคพลังประชาชน (ปัจจุบัน) เป็นแกน เพื่อขับไล่พวกเขาให้พ้นไปจากวงจรอำนาจ ล้มเลิกการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ สร้างการเมืองใหม่ขึ้นแทนที่นั้น ขบวนการการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จักต้องปฏิบัติให้ได้ในหลักการสามประการ ดังนี้
1. สร้างและปลูกฝังจิตสำนึก “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ”
2. ปฏิบัติการเสริมสร้าง “อำนาจประชาชน”
3. สถาปนาอำนาจประชาชนแทนที่อำนาจทุนสามานย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
หลักยึด 3 ประการนี้ ได้ก่อรูปขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ต้นปี 2549 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 เมื่อประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย” ในการต่อสู้ขับไล่รัฐบาลตัวแทนกลุ่มทุนสามานย์หรือระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่ เพื่อขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างแท้จริง
ทั้งหมดนี้ ได้ประกอบกันเข้าเป็นความพร้อมทางอัตวิสัย ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ให้สามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมไทยยุคใหม่ อย่างมีพลวัตและเชื่อมโยงกันเข้าอย่างเป็นบูรณาการตั้งแต่ต้นจนจบ อันเป็นหลักประกันเบื้องต้น ในการปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ในการล้างการเมืองเก่าและสร้างการเมืองใหม่ให้สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้โดยพื้นฐาน
ประชาชนชาวไทยจะได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในการนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ผู้เข้าร่วมขบวนการการเมืองภาคประชาชนวันนี้ จักต้องเสริมสร้างและปลูกฝังจิตสำนึกหรือแนวคิดเบื้องต้นว่า “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” โดยความหมายก็คือประชาชนชาวไทยเป็นผู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยครั้งใหญ่นี้ มิใช่ทหารหรือกลุ่มอำนาจเฉพาะอื่นใด เช่นกลุ่มทุน
กลุ่มทหารและกลุ่มทุนได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทย เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาคนไทยส่วนใหญ่ได้ ตรงกันข้าม กลับเป็นผู้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากคนจน ทั้งในเมืองและในชนบท
ภารกิจทางประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่จึงตกสู่ภาคประชาชน อนาคตของประเทศไทยอยู่ในอุ้งมือของปวงชนชาวไทยแล้ว
นี่คือช่องโอกาสทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
การเคลื่อนไหวของประชาชนชาวไทย ภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ด้วยอำนาจประชาชนอันยิ่งใหญ่ที่ได้สั่งสมกันมา จึงไม่เพียงแต่จะต้องโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของกลุ่มทุนสามานย์เท่านั้น แต่ยังต้องใช้เงื่อนไขพิเศษทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนี้ “ก้าวข้าม”ขั้นตอนการใช้อำนาจของกลุ่มอำนาจต่างๆ ในสังคมไทยให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยการสถาปนาอำนาจประชาชนให้เป็นอำนาจนำเหนืออำนาจกลุ่มต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงตลอดไป
การสร้างอำนาจประชาชนให้เข้มแข็งเหนือกว่าอำนาจอื่นใดในสังคมไทย จึงมีนัยสำคัญยิ่งยวด และมีความเป็นไปได้สูง เพราะสอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงของประเทศไทย
ณ วันนี้ เมื่อกลุ่มทหารและกลุ่มทุน ตกที่นั่งเดียวกัน คือไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวไทย การแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนจึงมีความชอบธรรมเหนือกว่ากลุ่มอำนาจอื่นใดในการสร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นในประเทศไทย และด้วยแรงสนับสนุนของประชาชนทั้งประเทศ ก็จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ได้ “ตามความต้องการ” ของประชาชนอีกด้วย
นี่คือสัจธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงของสังคมไทยวันนี้ ชั่วโมงนี้
ความเป็นจริงนี้ ได้เป็นฐานรองรับสำนึกของความเป็น “เจ้าภาพ” ในการขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยครั้งใหญ่นี้เป็นอย่างดี
ดังนั้น คำว่า “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” จึงมิใช่สิ่งเลื่อนลอย พูดกันเลื่อนเปื้อน
แต่เป็น “สัจธรรม” สะท้อนสถานภาพของขบวนการการเมืองภาคประชาชนในกระบวนการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งนี้ และสอดคล้องอย่างยิ่งกับกฎเกณฑ์ทั่วไปของการขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติที่ว่า มวลชนคือผู้สร้างประวัติศาสตร์
ยิ่งกว่านั้น ในการเมืองใหม่ ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจโดยตรง เป็นผู้มีสิทธิจัดการกับทรัพยากรและโภคทรัพย์ต่างๆ ทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ สะท้อนถึงนัยของการเมืองใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง
เพราะมีแต่เช่นนี้เท่านั้น ประชาชนชาวไทยจึงจะปลดแอกตนเองออกจากสภาวะยากจน ล้าหลัง และความคับข้องหมองใจได้อย่างสิ้นเชิง พลิกสถานภาพทางสังคมจากผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ผู้ถูกลิดรอนโอกาส มาเป็นผู้มีอิสรเสรีภาพ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเอง สามารถร่วมแรงร่วมใจกันสร้างประเทศไทยใหม่ให้เจริญรุ่งเรือง และอยู่ร่วมกันกับกลุ่มชนผู้มีทรัพย์สมบัติพัสถานทั่วไปได้อย่างกลมกลืน ในสังคมที่สงบร่มเย็นตลอดไป