อาเซียนซัมมิตที่พัทยาเมื่อช่วงสงกรานต์ถูกทำลายลงด้วยปฏิบัติการอย่างไรคงไม่ต้องย้อนความ มาอาเซี่ยนซัมมิตครั้งใหม่ที่ชะอำบ้านท่านส.ว.สุมล สุตะวิริยะวัฒน์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาแม้จะไม่ถูกทำลายด้วยปฏิบัติการอย่างเดิม แต่การให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซนช่วงพบพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธที่พนมเปญ 21 ตุลาคม และให้สัมภาษณ์ซ้ำทันทีที่มาถึงชะอำเมื่อ 23 ตุลาคม ใช่หรือไม่ว่าเป็นปฏิบัติการทำลายในอีกรูปแบบหนึ่ง
เพราะเนื้อหาที่นักข่าวทั้งไทยและเทศสนใจกลายเป็นเรื่องเดิม ๆ ของอดีตผู้นำไทยหนีคดี
จาก “อาเซี่ยนซัมมิต” นักข่าวเขาแซวกันเองว่าแปรเป็นอื่นไปเสียแล้ว
“ทักษิณซัมมิต”
ผมไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญชนิดที่จอมบงการที่ดูไบจะไม่รู้ไม่เห็น เขาจงใจวางหมากเปิดเกมรุกอีกครั้งในทางการเมืองและการข่าวในระดับนานาชาติ
หนึ่งคือ... ลดทอนเครดิตที่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะได้จากความสำเร็จในการจัดประชุมนานาชาติครั้งนี้ หากจะมีอยู่บ้าง
อีกหนึ่งคือ... ตอกย้ำทำซ้ำชุดวาทกรรมลวงโลกที่ว่า (1) เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยทั้ง ๆ ที่ทำประโยชน์ให้มหาศาล (2) คดีที่เขาโดนลงโทษเป็นคดีการเมืองที่เกิดจากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดาหรือคอร์รัปชั่น และ (3) เขายังมีความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ผู้นำหลายประเทศยอมรับนับถือและต้องการให้ไปช่วยวางแผน
ปฏิบัติการของ พี่กี้-อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่หาดปึกเตียน เป็นเพียงเกมลวงเกมเสริมเท่านั้น
เกมจริงเกมหลักครั้งนี้ “ของจริง” รุ่นใหญ่อย่างสมเด็จฮุนเซนอาสาออกศึกเอง !
เพราะสมเด็จฯท่านก็หงุดหงิดรัฐบาลไทยชุดนี้ที่ชักช้าไม่เร่งตกลงถอนทหารออกจากพื้นที่อาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหารเสียทีเสี่ยงกับการที่กัมพูชาจะเสียหายจากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไม่สมบูรณ์ตามเงื่อนไขในปีหน้า
แน่นอนว่าสมเด็จฮุนเซนทำไม่ถูกหากมองจากมุมของคนไทยและประเทศไทย
แต่ลองมองจากมุมของคนกัมพูชาประเทศกัมพูชา อาจจะได้ข้อสรุปที่แตกต่างไป เขาย่อมพอใจรัฐบาลไทยชุดที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเขามากที่สุดไม่ใช่หรือ ประเทศไทยปั่นป่วนวุ่นวายไร้ความสงบอย่างไรอย่างน้อยไม่เกี่ยวกับเขาอย่างมากเขายิ่งพึงใจไม่ใช่หรือ
มุมมองของผมคือเราต้องพูดกับคนของเราเอง
พูดแรง ๆ ให้ฉุกคิดกัน !
ผมจึงชวนเพื่อนกลุ่ม 40 ส.ว.ออกไปแถลงข่าวทันทีตั้งแต่เมื่อเวลา 11.30 น.ของวันที่ 22 ตุลาคม
“ขอเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะตัวแทนของคนไทย ตอบโต้คำกล่าวเท็จอย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงถึงศักดิ์ศรีของประเทศไทย อันเป็นประเทศเอกราช ที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมมายาวนาน ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใคร และไม่เคยยอมสงบต่อการกระทำอันมีลักษณะลบหลู่และตระบัดสัตย์ของประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่ดำเนินการ ก็ไม่ควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ไม่ควรนิ่งเฉยหรือไปแก้ต่างให้ผู้นำกัมพูชาเหมือนที่ผ่านมา...”
สมเด็จฮุนเซนไม่ได้มีท่าทีอันควรตอบโต้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายนก็ประกาศจะยิงคนไทยทุกคนที่ล้ำแดน แต่ผู้นำไทยนอกจากไม่ตอบโต้แล้ว ยังทะลึ่งรู้ดีไปช่วยแก้ตัวให้เขาอีกทำนองว่าเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้ พูดอย่างนี้ก็เพื่อผลทางการเมืองในประเทศของเขา ไม่มีอะไรหรอก
ในวันนั้น นายกฯอภิสิทธิ์และรองนายกฯสุเทพยังคงปฏิบัติเหมือนเคย พูดจาระวังถ้อยคำ แถมแก้ต่างให้สมเด็จฮุนเซนว่าเขาคงไม่คิดอย่างนั้น
จวบจนเมื่อเย็นวันที่ 23 ตุลาคมที่สมเด็จฮุนเซนปรี่เข้าหานักข่าวให้สัมภาษณ์ซ้ำทันทีที่มาถึงชะอำ ยืนยันคำพูดเดิม เสมือนเป็นการตบหน้าผู้นำไทยที่เพิ่งอ้อมแอ้มแก้ตัวแก้ต่างให้ แถมยิงหมัดตรงเข้าเป้า
“คนไทยเป็นล้าน ๆ เสื้อแดงก็เป็นผู้ที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วทำไมข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพียงเพื่อน ซึ่งอยู่ห่างไกล จะไม่สามารถสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณได้ หากไม่มีการรัฐประหาร สิ่งนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
นั่นแหละ นายกฯอภิสิทธิ์ถึงตั้งหลักตอบโต้กลับบ้าง ช่วยให้แฟนคลับที่สุดรักสุดห่วงค่อยคลายใจไปได้ตามควร
แต่คำถามของผมคือ – แค่นั้นพอแล้วหรือ ?
แค่คมวาทะสไตล์มีดโกนน้อยน่ะพอแล้ว ไม่ต้องไปแลกมากกว่านี้ แต่ปฏิบัติการอย่างเป็นทางการในเชิงการเมืองระหว่างประเทศเพื่อแสดงให้รู้ว่าราชอาณาจักรไทยไม่พอใจกับการโหมฟืนเข้ากองไฟครั้งนี้ จะต้องมีตามมา
ถ้าคิดว่าการเรียกทูตมาพบ หรือดำเนินการประท้วงอย่างเป็นทางการ แรงไป – ก็ยังไม่ต้องทำ
ขอแค่ 2 ประการก่อนได้ไหม
ประการที่หนึ่ง รัฐบาลต้องประกาศชะลอการนำบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) รวม 3 ฉบับ และเอกสารประกอบ เข้ามาขอความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด หรืออย่างน้อยในชั้นต้นก็ให้พ้นสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้ที่จะปิดในวันที่ 28 พฤศจิกายน ข้ออ้างของรัฐบาลมีมาก อ้างสมาชิกรัฐสภาว่าคัดค้านกันมากก็ได้ และอ้างประชาชนว่าไม่เห็นด้วยก็ยิ่งจะมีน้ำหนัก
เรื่องนี้ผมเขียนมาแล้วหลายครั้งว่ามันเกี่ยวกับแผ่นดิน 4.6 ตารางกิโลกเมตร และในทางปฏิบัติรัฐบาลก็ตกลงกับส.ว.กลุ่มพวกผมแล้วว่าถึงเรื่องเข้าก็จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมก่อน ยังไม่ลงมติ
ประการที่สอง ยกระดับการคัดค้านมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว โดยนอกจากจะเพียงแค่ส่งรัฐมนตรีคนหนึ่งไปคัดค้านต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกประจำปีเมื่อเร็ว ๆ นี้แล้ว ต้องทำมากกว่านั้น โดยดำเนินการคัดค้านไปยังยูเนสโกและเลขาธิการสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ พวกผมกลุ่ม 40 ส.ว.นำร่องไปให้แล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
โดยพวกเราไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียูเนสโก คณะกรรมการมรดกโลก รวมถึงผู้ช้วยผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกด้านวัฒนธรรม (นางฟรังซัวส์ ริวิเยร์) มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส และไม่สามารถทำความกระจ่างชัดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่ปฏิบัติตามกฎข้อที่ 11(3) เรื่องการเคารพอธิปไตยและความเป็นกลาง นอกจากนี้ เรายังคัดค้านต่อกรณีที่ยูเนสโกจะมีแต่งตั้งตัวแทนจากกัมพูชาเข้ามาเป็นกรรมการถาวรในคณะกรรมการมรดกโลก
ทั้ง 2 ประการนี้จะทำให้แผนหาประโยชน์จากปราสาทพระวิหารของกัมพูชามีโอกาสสะดุดหยุดลง
อันจะเป็นการทำให้สมเด็จฮุนเซนต้องเดินหมากเผยธาตุแท้ต่อไปในปีหน้า
ทำได้ 2 ประการนี้มันค่อยสมประโยค “ไทยเข้มแข็ง” บนเสื้อแจ็คเก็ตสีขาวที่ท่านนายกฯชอบใส่หน่อย
ลำพังแค่ “กู้” แล้วก็ “(ปล่อยให้)โกง” ชาติหน้าประเทศนี้ก็ไม่เข้มแข็งหรอก !
เพราะเนื้อหาที่นักข่าวทั้งไทยและเทศสนใจกลายเป็นเรื่องเดิม ๆ ของอดีตผู้นำไทยหนีคดี
จาก “อาเซี่ยนซัมมิต” นักข่าวเขาแซวกันเองว่าแปรเป็นอื่นไปเสียแล้ว
“ทักษิณซัมมิต”
ผมไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องบังเอิญชนิดที่จอมบงการที่ดูไบจะไม่รู้ไม่เห็น เขาจงใจวางหมากเปิดเกมรุกอีกครั้งในทางการเมืองและการข่าวในระดับนานาชาติ
หนึ่งคือ... ลดทอนเครดิตที่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะได้จากความสำเร็จในการจัดประชุมนานาชาติครั้งนี้ หากจะมีอยู่บ้าง
อีกหนึ่งคือ... ตอกย้ำทำซ้ำชุดวาทกรรมลวงโลกที่ว่า (1) เขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยทั้ง ๆ ที่ทำประโยชน์ให้มหาศาล (2) คดีที่เขาโดนลงโทษเป็นคดีการเมืองที่เกิดจากการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ใช่อาชญากรรมธรรมดาหรือคอร์รัปชั่น และ (3) เขายังมีความสามารถในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ผู้นำหลายประเทศยอมรับนับถือและต้องการให้ไปช่วยวางแผน
ปฏิบัติการของ พี่กี้-อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่หาดปึกเตียน เป็นเพียงเกมลวงเกมเสริมเท่านั้น
เกมจริงเกมหลักครั้งนี้ “ของจริง” รุ่นใหญ่อย่างสมเด็จฮุนเซนอาสาออกศึกเอง !
เพราะสมเด็จฯท่านก็หงุดหงิดรัฐบาลไทยชุดนี้ที่ชักช้าไม่เร่งตกลงถอนทหารออกจากพื้นที่อาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหารเสียทีเสี่ยงกับการที่กัมพูชาจะเสียหายจากกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกไม่สมบูรณ์ตามเงื่อนไขในปีหน้า
แน่นอนว่าสมเด็จฮุนเซนทำไม่ถูกหากมองจากมุมของคนไทยและประเทศไทย
แต่ลองมองจากมุมของคนกัมพูชาประเทศกัมพูชา อาจจะได้ข้อสรุปที่แตกต่างไป เขาย่อมพอใจรัฐบาลไทยชุดที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของเขามากที่สุดไม่ใช่หรือ ประเทศไทยปั่นป่วนวุ่นวายไร้ความสงบอย่างไรอย่างน้อยไม่เกี่ยวกับเขาอย่างมากเขายิ่งพึงใจไม่ใช่หรือ
มุมมองของผมคือเราต้องพูดกับคนของเราเอง
พูดแรง ๆ ให้ฉุกคิดกัน !
ผมจึงชวนเพื่อนกลุ่ม 40 ส.ว.ออกไปแถลงข่าวทันทีตั้งแต่เมื่อเวลา 11.30 น.ของวันที่ 22 ตุลาคม
“ขอเรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะตัวแทนของคนไทย ตอบโต้คำกล่าวเท็จอย่างเป็นทางการ เพื่อแสดงถึงศักดิ์ศรีของประเทศไทย อันเป็นประเทศเอกราช ที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมมายาวนาน ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใคร และไม่เคยยอมสงบต่อการกระทำอันมีลักษณะลบหลู่และตระบัดสัตย์ของประเทศเพื่อนบ้าน หากไม่ดำเนินการ ก็ไม่ควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ไม่ควรนิ่งเฉยหรือไปแก้ต่างให้ผู้นำกัมพูชาเหมือนที่ผ่านมา...”
สมเด็จฮุนเซนไม่ได้มีท่าทีอันควรตอบโต้ครั้งนี้เป็นครั้งแรก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กันยายนก็ประกาศจะยิงคนไทยทุกคนที่ล้ำแดน แต่ผู้นำไทยนอกจากไม่ตอบโต้แล้ว ยังทะลึ่งรู้ดีไปช่วยแก้ตัวให้เขาอีกทำนองว่าเขาก็เป็นของเขาอย่างนี้ พูดอย่างนี้ก็เพื่อผลทางการเมืองในประเทศของเขา ไม่มีอะไรหรอก
ในวันนั้น นายกฯอภิสิทธิ์และรองนายกฯสุเทพยังคงปฏิบัติเหมือนเคย พูดจาระวังถ้อยคำ แถมแก้ต่างให้สมเด็จฮุนเซนว่าเขาคงไม่คิดอย่างนั้น
จวบจนเมื่อเย็นวันที่ 23 ตุลาคมที่สมเด็จฮุนเซนปรี่เข้าหานักข่าวให้สัมภาษณ์ซ้ำทันทีที่มาถึงชะอำ ยืนยันคำพูดเดิม เสมือนเป็นการตบหน้าผู้นำไทยที่เพิ่งอ้อมแอ้มแก้ตัวแก้ต่างให้ แถมยิงหมัดตรงเข้าเป้า
“คนไทยเป็นล้าน ๆ เสื้อแดงก็เป็นผู้ที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แล้วทำไมข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพียงเพื่อน ซึ่งอยู่ห่างไกล จะไม่สามารถสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณได้ หากไม่มีการรัฐประหาร สิ่งนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”
นั่นแหละ นายกฯอภิสิทธิ์ถึงตั้งหลักตอบโต้กลับบ้าง ช่วยให้แฟนคลับที่สุดรักสุดห่วงค่อยคลายใจไปได้ตามควร
แต่คำถามของผมคือ – แค่นั้นพอแล้วหรือ ?
แค่คมวาทะสไตล์มีดโกนน้อยน่ะพอแล้ว ไม่ต้องไปแลกมากกว่านี้ แต่ปฏิบัติการอย่างเป็นทางการในเชิงการเมืองระหว่างประเทศเพื่อแสดงให้รู้ว่าราชอาณาจักรไทยไม่พอใจกับการโหมฟืนเข้ากองไฟครั้งนี้ จะต้องมีตามมา
ถ้าคิดว่าการเรียกทูตมาพบ หรือดำเนินการประท้วงอย่างเป็นทางการ แรงไป – ก็ยังไม่ต้องทำ
ขอแค่ 2 ประการก่อนได้ไหม
ประการที่หนึ่ง รัฐบาลต้องประกาศชะลอการนำบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) รวม 3 ฉบับ และเอกสารประกอบ เข้ามาขอความเห็นชอบจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด หรืออย่างน้อยในชั้นต้นก็ให้พ้นสมัยประชุมนิติบัญญัตินี้ที่จะปิดในวันที่ 28 พฤศจิกายน ข้ออ้างของรัฐบาลมีมาก อ้างสมาชิกรัฐสภาว่าคัดค้านกันมากก็ได้ และอ้างประชาชนว่าไม่เห็นด้วยก็ยิ่งจะมีน้ำหนัก
เรื่องนี้ผมเขียนมาแล้วหลายครั้งว่ามันเกี่ยวกับแผ่นดิน 4.6 ตารางกิโลกเมตร และในทางปฏิบัติรัฐบาลก็ตกลงกับส.ว.กลุ่มพวกผมแล้วว่าถึงเรื่องเข้าก็จะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมก่อน ยังไม่ลงมติ
ประการที่สอง ยกระดับการคัดค้านมติคณะกรรมการมรดกโลกที่ยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ฝ่ายเดียว โดยนอกจากจะเพียงแค่ส่งรัฐมนตรีคนหนึ่งไปคัดค้านต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกประจำปีเมื่อเร็ว ๆ นี้แล้ว ต้องทำมากกว่านั้น โดยดำเนินการคัดค้านไปยังยูเนสโกและเลขาธิการสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ
เรื่องนี้ พวกผมกลุ่ม 40 ส.ว.นำร่องไปให้แล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
โดยพวกเราไปยื่นหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติขอให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณียูเนสโก คณะกรรมการมรดกโลก รวมถึงผู้ช้วยผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกด้านวัฒนธรรม (นางฟรังซัวส์ ริวิเยร์) มีพฤติกรรมไม่โปร่งใส และไม่สามารถทำความกระจ่างชัดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่คณะกรรมการมรดกโลกไม่ปฏิบัติตามกฎข้อที่ 11(3) เรื่องการเคารพอธิปไตยและความเป็นกลาง นอกจากนี้ เรายังคัดค้านต่อกรณีที่ยูเนสโกจะมีแต่งตั้งตัวแทนจากกัมพูชาเข้ามาเป็นกรรมการถาวรในคณะกรรมการมรดกโลก
ทั้ง 2 ประการนี้จะทำให้แผนหาประโยชน์จากปราสาทพระวิหารของกัมพูชามีโอกาสสะดุดหยุดลง
อันจะเป็นการทำให้สมเด็จฮุนเซนต้องเดินหมากเผยธาตุแท้ต่อไปในปีหน้า
ทำได้ 2 ประการนี้มันค่อยสมประโยค “ไทยเข้มแข็ง” บนเสื้อแจ็คเก็ตสีขาวที่ท่านนายกฯชอบใส่หน่อย
ลำพังแค่ “กู้” แล้วก็ “(ปล่อยให้)โกง” ชาติหน้าประเทศนี้ก็ไม่เข้มแข็งหรอก !