เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถึงทุกข์ อนิจจัง และอนัตตาแล้ว ยากที่คนห่างธรรมะจะเข้าใจ แต่เมื่อพิจารณาง่ายๆ ทุกข์ ก็คือ กิเลส ตัณหา กามราคะที่ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทั้งหลาย มีโทสะ โมหะ โลภะ เป็นอาวุธเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่น อนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของชะตากรรม หรือเคราะห์กรรมของแต่ละคนที่เวียนว่ายตายเกิด ทรมานด้วยโรคาพยาธิตามกฎแห่งกรรมอันเป็นสัจจะแห่งวัฏจักร ส่วนอนัตตานั้น คือ ความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถบังคับสรรพสิ่งทั้งมวลในโลกนี้ให้เป็นไปตามที่ตนปรารถนาได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของกรรมของธรรมชาติอันเป็นชะตากรรมแห่งภพ
เหตุทั้งมวลที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ และที่กำลังเกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองเรา เป็นเรื่องชะตากรรม เป็นเรื่องเคราะห์กรรม ซึ่งมีผู้คนหลายคนพูดว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” และทุกคนก็หวังที่มี “แต่ และเป็น “แต่” ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก” คือ “เพียงแต่ขอให้พ่อ – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักเทิดทูนสุดชีวิตของคนไทยทั้งปวง ทรงกลับมามีพระพลานามัยแข็งแรง และทรงพระเกษมสำราญเท่านั้น” เรื่องอื่นๆ รวมทั้งเรื่องทักษิณ พล.อ.ชวลิตและเตรียมทหารรุ่น 10 ก็จะกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปในทันที
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อำนาจแห่งกรรมดีอันบริสุทธิ์เท่านั้นจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรผ่อนคลายไปตามสัจธรรมแห่งบารมีอันบริสุทธิ์ที่คนไทยกว่า 60 กว่าล้านคนได้อานิสงส์ทานบารมี ศีลบารมี และธรรมบารมีมาตลอด 60 กว่าปี เป็นเครื่องคุ้มกัน และขจัดวิบากกรรมให้หมดไปในที่สุด
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องกรรม จึงทำบุญขออโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรเสมอด้วยใจบริสุทธิ์ แต่บางคนทำเหมือนไม่เชื่อเรื่องกรรม และเราคงจะได้รับรู้เรื่องของกรรมของคนหลายคนในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะกรณีการกุข่าวชั่วเพื่อหวังผลหลายด้าน หรือใช้ความชั่วนี้ชักชวนให้เพื่อนฝรั่งมาช้อนหุ้นไทยเมื่อตลาดหุ้นสนองตอบข่าวลือที่มารตัวนั้นมันกุขึ้น และกระจายข่าวเพื่อให้เพื่อนฝรั่งของมันนับถือความชั่วมัน
บ้านเมืองเรากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างรุนแรงเพราะเกิดวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจากกลุ่มมาร ที่มาพร้อมกับอำนาจรัฐ พ.ศ. 2544-2549 อันเป็นผลพวงของกิเลสที่ติดตัวคนกลุ่มนี้มา ด้วยความโลภโมโทสัน โทสจริต และความลุ่มหลงในอำนาจมากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป จึงเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
คนกลุ่มนี้ล้มเหลวในการใช้ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์บริหารบ้านเมือง แต่มีความโลภมากจึงบริหารประเทศด้วยระบอบธนาธิปไตย ใช้เงินฟาดหัวคน เพราะประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความบริสุทธิ์ใจ แต่คนกลุ่มนี้นำโดยทักษิณ กลับแสวงโอกาสจากความบริสุทธิ์ใจของคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่หวังให้คนบริสุทธิ์ใช้ประโยชน์ แต่ด้วยความโลภจึงใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้สร้างโอกาสในการสนองกิเลสที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่มีเงินมากมายอยู่แล้วก็หวังที่จะรวยมากยิ่งขึ้น ด้วยการขายหุ้นชินคอร์ปเสียเพื่อมาตักตวง และหวังร่ำรวยจากพลังงานที่เป็นหัวใจของโลกอุตสาหกรรม เมื่อถูกปรามก็เกิดความโกรธไม่พอใจ จนลามปามกล่าวร้ายลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ยังมีอำนาจอยู่หรือหมดอำนาจรัฐไปแล้วก็ตาม จนเป็นที่ทราบกัน ได้แก่สำนวนอุบาทว์ “บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” และกระแดะใช้สำนวนภาษาอังกฤษว่า “ไม่ออฟเซิร์ฟ รูล ออฟ ลอร์” (Not Observ Rule of Law)
และในวันที่ 20 เมษายน 2552 ได้ให้สัมภาษณ์ไฟแนนซ์เชียล ไทมส์ ที่ทักษิณจงใจกล่าวพาดพิงถึงในหลวง ว่าทรงรับรู้การรัฐประหาร 2549 เพราะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และองคมนตรี เข้าเฝ้าฯ และกราบบังคมทูลว่า “จะกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเขาไม่จงรักภักดีต่อในหลวงแล้ว” โดยที่ทักษิณเล่าว่า ได้ยินจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มาอีกทอดหนึ่ง แล้ว พล.อ.พัลลภ ฟังมาจากใครล่ะ ซึ่งคงไม่ใช่จากปากของ พล.อ.เปรม หรือ พล.อ.สุรยุทธ์อย่างแน่นอน แล้วเปรตตัวไหนเล่าให้ทักษิณฟัง
คำถามมีว่าทักษิณโง่มากใช่ไหมที่เชื่อ พล.อ.พัลลภ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นถึงนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่คนทั้งหลายเชื่อว่าฉลาด ทักษิณยอมรู้ถึงขบวนการขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวงดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าจะกระทำกันได้ง่ายๆ นอกจากเหตุการณ์วิกฤตเพราะปกติใครจะพบทักษิณก็ยากยิ่งกว่าเข้าเฝ้าฯ ในหลวงเสียอีกกระมัง เพราะไม่มีระบบที่ชัดเจน ต่างกับระเบียบสำนักพระราชวังที่มีขั้นตอนชัดเจนและจะไม่มีใครอีกเลยในที่ประทับนั้น นอกจากคนที่ได้พระมหากรุณาธิคุณ ทักษิณรู้ดีในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในกรณีที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เห็นว่าทักษิณไม่เคารพและไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แล้ว ก็สมควรและเป็นจริงไปตามที่ท่านได้วิพากษ์ เพราะวิเคราะห์ตามที่ท่านอนุมานไว้ว่าทักษิณหวังให้สื่อต่างชาติได้วิจารณ์การแทรกแซงหรือการที่ในหลวงไม่ยับยั้งการรัฐประหาร 2549 โดยหวังให้สื่อต่างชาติหมดศรัทธาในหลวงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
พล.ต.อ.วสิษฐ มั่นใจว่า ในหลวงทรงมีพระปรีชาสามารถลึกล้ำและจะไม่ทรงเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองลักษณะเช่นนี้ การปล่อยข่าวเช่นนี้เป็นการโง่มาก และผู้สื่อข่าวต่างชาติก็โง่ที่ไม่รู้ว่าในหลวงทรงมีพระปรีชาสามารถลึกล้ำอย่างอัศจรรย์เกินกว่าพวกโง่ๆ อย่างพวกเขาจะเข้าใจ และนอกจากนั้นพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าทรงผ่านเหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2489 ขณะที่ทักษิณยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ และทักษิณเข้ามาในวงการเมืองก็เป็นการเมืองท้องถิ่นตามคติของพ่อตัวเองซึ่งมีพื้นฐานท้องถิ่น มี Parameter จำกัด จึงไม่ซึมซับพระปรีชาสามารถทางรัฐศาสตร์ประยุกต์ และเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ของในหลวงได้ และทักษิณคงไม่ได้อ่านเรื่องตีโตที่ในหลวงทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นอุทาหรณ์
ส่วนการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศเข้าร่วมเคราะห์กรรมกับทักษิณ โดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพล.อ.เปรม ได้ให้คนไปบอก พล.อ.ชวลิต ว่า “จะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งผมใช้คำว่าไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ”
ดังนั้น การคิด การอ่าน และการตัดสินในของ พล.อ.ชวลิต ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จะด้วยเจตนาใดก็ตาม ย่อมมีนัยให้คนหมู่มากคิดว่า ทำไม พล.อ.ชวลิต จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น พล.อ.ชวลิต เป็นหนี้อะไรทักษิณหรือ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องประชาธิปไตยก็ตาม แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังทำอะไรอยู่ ทำเพื่อใครและอะไรจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพล.อ.ชวลิตเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า จึงถึงเวลาแล้วที่พล.อ.ชวลิต ต้องเปิดโปงประเด็นนี้ว่าใครจะทำสิ่งเหล่านี้
คำถามว่า พล.อ.ชวลิต ยุติบทบาททางการเมืองไว้ก่อนไม่ได้หรือ ถึงแม้ว่ามีกิเลสการเมืองมากมายมหาศาลก็ตาม มีประวัติศาสตร์ความแตกแยกในความคิดและอุดมการณ์ในกองทัพมาก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2475 แล้ว และมีบทเรียนให้คิดว่าหลายครั้งที่ฝ่ายหนึ่งต้องยุติบทบาทของตัวเองลงชั่วคราว หรือเลิกเกี่ยวข้องไปเลยเพื่อความสงบสุขของชาติ เช่น กรณีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารเมื่อ 16 กันยายน 2500 บรรดาลูกน้องมือใหญ่ๆ ระดับอดีต ผบ.ทบ.เหล่าทัพของจอมพลป. ที่มีบารมีมากมายยังยุติบทบาทไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย ทั้งๆ ที่อายุเมื่อหมดอำนาจเพียง 57–59 ปีเท่านั้น ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษาครับ
vacharar@rtaf.mi.th
เหตุทั้งมวลที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ และที่กำลังเกิดขึ้นในชาติบ้านเมืองเรา เป็นเรื่องชะตากรรม เป็นเรื่องเคราะห์กรรม ซึ่งมีผู้คนหลายคนพูดว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” และทุกคนก็หวังที่มี “แต่ และเป็น “แต่” ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลนัก” คือ “เพียงแต่ขอให้พ่อ – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักเทิดทูนสุดชีวิตของคนไทยทั้งปวง ทรงกลับมามีพระพลานามัยแข็งแรง และทรงพระเกษมสำราญเท่านั้น” เรื่องอื่นๆ รวมทั้งเรื่องทักษิณ พล.อ.ชวลิตและเตรียมทหารรุ่น 10 ก็จะกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปในทันที
เรื่องของกรรมเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อำนาจแห่งกรรมดีอันบริสุทธิ์เท่านั้นจะทำให้เจ้ากรรมนายเวรผ่อนคลายไปตามสัจธรรมแห่งบารมีอันบริสุทธิ์ที่คนไทยกว่า 60 กว่าล้านคนได้อานิสงส์ทานบารมี ศีลบารมี และธรรมบารมีมาตลอด 60 กว่าปี เป็นเครื่องคุ้มกัน และขจัดวิบากกรรมให้หมดไปในที่สุด
ผมเป็นคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องกรรม จึงทำบุญขออโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวรเสมอด้วยใจบริสุทธิ์ แต่บางคนทำเหมือนไม่เชื่อเรื่องกรรม และเราคงจะได้รับรู้เรื่องของกรรมของคนหลายคนในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะกรณีการกุข่าวชั่วเพื่อหวังผลหลายด้าน หรือใช้ความชั่วนี้ชักชวนให้เพื่อนฝรั่งมาช้อนหุ้นไทยเมื่อตลาดหุ้นสนองตอบข่าวลือที่มารตัวนั้นมันกุขึ้น และกระจายข่าวเพื่อให้เพื่อนฝรั่งของมันนับถือความชั่วมัน
บ้านเมืองเรากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างรุนแรงเพราะเกิดวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจากกลุ่มมาร ที่มาพร้อมกับอำนาจรัฐ พ.ศ. 2544-2549 อันเป็นผลพวงของกิเลสที่ติดตัวคนกลุ่มนี้มา ด้วยความโลภโมโทสัน โทสจริต และความลุ่มหลงในอำนาจมากกว่ามนุษย์ปกติทั่วไป จึงเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
คนกลุ่มนี้ล้มเหลวในการใช้ประชาธิปไตยที่บริสุทธิ์บริหารบ้านเมือง แต่มีความโลภมากจึงบริหารประเทศด้วยระบอบธนาธิปไตย ใช้เงินฟาดหัวคน เพราะประชาธิปไตยต้องอยู่บนพื้นฐานความบริสุทธิ์ใจ แต่คนกลุ่มนี้นำโดยทักษิณ กลับแสวงโอกาสจากความบริสุทธิ์ใจของคนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่หวังให้คนบริสุทธิ์ใช้ประโยชน์ แต่ด้วยความโลภจึงใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้สร้างโอกาสในการสนองกิเลสที่ไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆ ที่มีเงินมากมายอยู่แล้วก็หวังที่จะรวยมากยิ่งขึ้น ด้วยการขายหุ้นชินคอร์ปเสียเพื่อมาตักตวง และหวังร่ำรวยจากพลังงานที่เป็นหัวใจของโลกอุตสาหกรรม เมื่อถูกปรามก็เกิดความโกรธไม่พอใจ จนลามปามกล่าวร้ายลักษณะต่างๆ ตั้งแต่ยังมีอำนาจอยู่หรือหมดอำนาจรัฐไปแล้วก็ตาม จนเป็นที่ทราบกัน ได้แก่สำนวนอุบาทว์ “บุคคลซึ่งดูเหมือนมีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” และกระแดะใช้สำนวนภาษาอังกฤษว่า “ไม่ออฟเซิร์ฟ รูล ออฟ ลอร์” (Not Observ Rule of Law)
และในวันที่ 20 เมษายน 2552 ได้ให้สัมภาษณ์ไฟแนนซ์เชียล ไทมส์ ที่ทักษิณจงใจกล่าวพาดพิงถึงในหลวง ว่าทรงรับรู้การรัฐประหาร 2549 เพราะพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี และองคมนตรี เข้าเฝ้าฯ และกราบบังคมทูลว่า “จะกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเขาไม่จงรักภักดีต่อในหลวงแล้ว” โดยที่ทักษิณเล่าว่า ได้ยินจาก พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มาอีกทอดหนึ่ง แล้ว พล.อ.พัลลภ ฟังมาจากใครล่ะ ซึ่งคงไม่ใช่จากปากของ พล.อ.เปรม หรือ พล.อ.สุรยุทธ์อย่างแน่นอน แล้วเปรตตัวไหนเล่าให้ทักษิณฟัง
คำถามมีว่าทักษิณโง่มากใช่ไหมที่เชื่อ พล.อ.พัลลภ ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นถึงนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่คนทั้งหลายเชื่อว่าฉลาด ทักษิณยอมรู้ถึงขบวนการขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวงดีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่ว่าจะกระทำกันได้ง่ายๆ นอกจากเหตุการณ์วิกฤตเพราะปกติใครจะพบทักษิณก็ยากยิ่งกว่าเข้าเฝ้าฯ ในหลวงเสียอีกกระมัง เพราะไม่มีระบบที่ชัดเจน ต่างกับระเบียบสำนักพระราชวังที่มีขั้นตอนชัดเจนและจะไม่มีใครอีกเลยในที่ประทับนั้น นอกจากคนที่ได้พระมหากรุณาธิคุณ ทักษิณรู้ดีในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ในกรณีที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เห็นว่าทักษิณไม่เคารพและไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์แล้ว ก็สมควรและเป็นจริงไปตามที่ท่านได้วิพากษ์ เพราะวิเคราะห์ตามที่ท่านอนุมานไว้ว่าทักษิณหวังให้สื่อต่างชาติได้วิจารณ์การแทรกแซงหรือการที่ในหลวงไม่ยับยั้งการรัฐประหาร 2549 โดยหวังให้สื่อต่างชาติหมดศรัทธาในหลวงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย
พล.ต.อ.วสิษฐ มั่นใจว่า ในหลวงทรงมีพระปรีชาสามารถลึกล้ำและจะไม่ทรงเข้าไปยุ่งเกี่ยวการเมืองลักษณะเช่นนี้ การปล่อยข่าวเช่นนี้เป็นการโง่มาก และผู้สื่อข่าวต่างชาติก็โง่ที่ไม่รู้ว่าในหลวงทรงมีพระปรีชาสามารถลึกล้ำอย่างอัศจรรย์เกินกว่าพวกโง่ๆ อย่างพวกเขาจะเข้าใจ และนอกจากนั้นพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าทรงผ่านเหตุการณ์วิกฤตทางการเมืองรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2489 ขณะที่ทักษิณยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ และทักษิณเข้ามาในวงการเมืองก็เป็นการเมืองท้องถิ่นตามคติของพ่อตัวเองซึ่งมีพื้นฐานท้องถิ่น มี Parameter จำกัด จึงไม่ซึมซับพระปรีชาสามารถทางรัฐศาสตร์ประยุกต์ และเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ของในหลวงได้ และทักษิณคงไม่ได้อ่านเรื่องตีโตที่ในหลวงทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นอุทาหรณ์
ส่วนการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประกาศเข้าร่วมเคราะห์กรรมกับทักษิณ โดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และพล.อ.เปรม ได้ให้คนไปบอก พล.อ.ชวลิต ว่า “จะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งผมใช้คำว่าไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ”
ดังนั้น การคิด การอ่าน และการตัดสินในของ พล.อ.ชวลิต ที่เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จะด้วยเจตนาใดก็ตาม ย่อมมีนัยให้คนหมู่มากคิดว่า ทำไม พล.อ.ชวลิต จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น พล.อ.ชวลิต เป็นหนี้อะไรทักษิณหรือ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นเป็นเรื่องประชาธิปไตยก็ตาม แต่ทั้งๆ ที่รู้ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังทำอะไรอยู่ ทำเพื่อใครและอะไรจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพล.อ.ชวลิตเป็นคนเปิดประเด็นเรื่องล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า จึงถึงเวลาแล้วที่พล.อ.ชวลิต ต้องเปิดโปงประเด็นนี้ว่าใครจะทำสิ่งเหล่านี้
คำถามว่า พล.อ.ชวลิต ยุติบทบาททางการเมืองไว้ก่อนไม่ได้หรือ ถึงแม้ว่ามีกิเลสการเมืองมากมายมหาศาลก็ตาม มีประวัติศาสตร์ความแตกแยกในความคิดและอุดมการณ์ในกองทัพมาก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2475 แล้ว และมีบทเรียนให้คิดว่าหลายครั้งที่ฝ่ายหนึ่งต้องยุติบทบาทของตัวเองลงชั่วคราว หรือเลิกเกี่ยวข้องไปเลยเพื่อความสงบสุขของชาติ เช่น กรณีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารเมื่อ 16 กันยายน 2500 บรรดาลูกน้องมือใหญ่ๆ ระดับอดีต ผบ.ทบ.เหล่าทัพของจอมพลป. ที่มีบารมีมากมายยังยุติบทบาทไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเลย ทั้งๆ ที่อายุเมื่อหมดอำนาจเพียง 57–59 ปีเท่านั้น ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษาครับ
vacharar@rtaf.mi.th