xs
xsm
sm
md
lg

พลิกปูมสัมพันธ์ลึก “นช.ทักษิณ-ฮุน เซน”เพื่อนรักหรือ“มิตรเก๊”บนผลประโยชน์ (ตอน 1)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คำยืนยันจากปากสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ประกาศว่า นช.(พ.ต.ท.)ทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีอาญาหนีคุกเป็นเพื่อนรัก และบอกด้วยว่า ต้องช่วยเหลือกันยามยากลำบาก ด้วยการจะเชิญให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลกัมพูชา แถมจะสร้างที่พำนักคฤหาสน์สุดหรูไว้รองรับ
นั่นยังไม่เจ็บปวดเท่ากับการขาดมารยาทอย่างแรงของผู้นำกัมพูชา ที่ทันทีที่เหยียบแผ่นดินไทยก็พ่นคำพูดสามหาว ย้ำสายสัมพันธ์กับนช.ทักษิณ โดยไม่คำนึงแม้แต่นิดเดียวว่า บุคคลคนนี้เป็นผู้ร้ายหนีคดีอาญา โดยแก้ตัวให้เสร็จสรรพว่า นช.ทักษิณ ต้องประสบเคราะห์กรรมเยี่ยงนี้ เป็นผลมาจากการทำปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา
และยังอ้างอธิปไตยกัมพูชาว่า มีสิทธิ์ในการให้ความช่วยเหลือนช.ทักษิณ อีกด้วย ทั้งที่ระหว่างสองประเทศมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน !
เป็นคำกล่าวในการเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่หัวหิน ซึ่งไม่ใช่เวทีแก้ตัวให้กับนช.ทักษิณ แต่ “ฮุนเซน” ก็ทำไปแล้ว มาออกลิงออกค่าง ในวันที่ 23 ตุลาคม
ทำแบบชนิดที่เรียกว่า น่าจะเตรียมตัวมาตั้งแต่ออกจากบ้าน และอาจถึงขั้นมีคนเขียนบทให้ท่องจำด้วยซ้ำ
เพราะทุกคำพูดล้วนแต่สรรเสริญเยินยอเพิ่มค่าให้ นช.ทักษิณทั้งสิ้น โดยเฉพาะการเปรียบ นช.ทักษิณ กับ อองซาน ซูจี อันเป็นเรื่องที่นช.ทักษิณ พยายามทำมาอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงตอบรับจากชาวโลกคือ การหัวร่อใส่หน้า เนื่องจากเขารู้เช่นเห็นชาติกันดีว่า นช.ทักษิณ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งจะเป็นหูดที่ฝ่าเท้าของอองซาน ซูจี
อะไรทำให้ ฮุนเซน ยอมเล่นบทเดียวกับ “พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” ปกป้อง“นช.ทักษิณ” ราวกับพ่อบังเกิดเกล้า โดยไม่คำนึงว่าการกระทำดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อประเทศชาติของตัวเองหรือไม่
คำตอบง่าย ๆอยู่ที่ “เงิน” ตัวเดียวเท่านั้น เพราะ“ฮุนเซน” ไม่มีต้นทุนความดีใดๆ ให้ขาดทุนทั้งสิ้น มีแต่จะได้กำไรเท่านั้นจากการขายตัวให้“ทักษิณ” ครั้งนี้
ความเป็นเพื่อนที่พยายามอ้างถึงนั้น ฟังแล้วน่าสมเพชสิ้นดี เพราะใครก็ตามที่ได้รับรู้เรื่องราวหนหลังระหว่างสองคนนี้จะรู้ดีว่า
ถ้าเป็นวิญญูชนที่ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง ย่อมไม่มีทางที่คนสองคนนี้จะมาบรรจบกอดคอกันได้ แต่นี่เป็นเพราะทั้ง“นช.ทักษิณกับ ฮุนเซน” เป็นแค่คนที่ไม่สามารถก้าวข้ามมาถึงความเป็น“วีรชน” ได้ เรื่องราวมันก็เลยลงเอยอย่างที่เห็น
สิ่งที่สมควรตีแผ่ให้สังคมไทยได้เห็นธาตุแท้ของสองคนนี้ไปพร้อม ๆ กัน เริ่มขึ้นในช่วงที่ นช.ทักษิณ ยังมีสถานะเป็นนักธุรกิจที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา ด้วยการเข้ารับสัมปทานกิจการสถานีโทรทัศน์ซึ่งได้รับอายุสัมปทานยาวนานถึง 99 ปี
แน่นอนว่า ต้องใช้ปัจจัยจำนวนมากแลกกับสัมปทานยาวนาน 7 ชั่วโคตรขนาดนี้
ทุกอย่างก็น่าจะดี เพราะผลประโยชน์ลงตัว ความร่ำรวยก็บังเกิด เพียงแต่ว่ามันกลับกลายเป็นความร่ำรวยที่ไม่รู้จักพอของ“ฮุน เซน” แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะในห้วงเวลาที่การทำธุรกิจยังไม่ทันจะออกดอกออกผล กลับมีการเรียกรับผลประโยชน์ไม่จบไม่สิ้น
ทำให้ นช.ทักษิณ โกรธแค้นที่ถูกไถเงินก้อนอยู่ตลอดเวลา จึงปฏิเสธที่จะจ่ายในเวลาต่อมา เนื่องจากได้สัมปทานไปแล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ “ฮุน เซน” ดัดหลังด้วยการแก้ไขสัมปทานใหม่ ลดอายุลงจาก 99 ปี เหลือ 30 ปี เป็นเหตุให้นช.ทักษิณ โกรธแค้นอย่างหนัก และคิดการใหญ่ตามสันดานของคนที่คิดว่า เงินซื้อได้ทุกอย่าง ด้วยการให้เงินสนับสนุนทหารฝ่ายตรงกันข้ามกับฮุนเซน เพื่อทำการปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลขณะนั้น ซึ่ง “ฮุน เซน”เป็นนายกรัฐมนตรีร่วมกับ“เจ้ารณฤทธิ์” (ขณะนั้นกัมพูชามีนายกรัฐมนตรีสองคน)
มีเงินอย่างเดียวคงไม่พอกับแผนการใหญ่ขนาดนี้ จึงต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคนใหญ่โตในประเทศไทยที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับนายพล ซอนซาน ทหารที่ยืนอยู่ตรงข้าม “ฮุน เซน” เพื่อมาเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติ
ยุคนั้นประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ มีรองนายกรัฐมนตรีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร พอจะเห็นสายสัมพันธ์และเค้าลางอะไรบ้างไหม ?
อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติครั้งดังกล่าวล้มเหลว และทางการกัมพูชาจับตัวคนไทยกว่า 30 คนไว้ ด้วยข้อหาร่วมก่อการปฏิวัติ ขณะที่พ.ต.ท.อดุลย์ บุญเศรษฐ์ ซึ่งขณะนั้นสังกัดพรรคความหวังใหม่ ก็ถูกกล่าวหาว่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องฉาวนี้ด้วย แต่พ.ต.ท.อดุลย์ หนีรอดจากการจับกุมของรัฐบาลกัมพูชากลับมาประเทศไทยได้ พร้อมกับปฏิเสธข้อหาทั้งหมด
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชา ย่ำแย่ถึงขีดต่ำสุด เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชาเห็นว่าคนในรัฐบาลไทยมีส่วนในการเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของกัมพูชา ด้วยการพยายามเปลี่ยนแปลงรัฐบาลภายใต้การนำของ “เจ้ารณฤทธิ์” กับ “ฮุน เซน” ถึงขนาดกำหนดแผนให้สังหารผู้นำกัมพูชาทั้งสองคนด้วยซ้ำ
คนไทยที่รู้เรื่องนี้ลึกถึงแก่นคือ "อาจารย์โต้ง" ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ซึ่งมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ “ฮุน เซน” นับตั้งแต่ผู้เป็นพ่อคือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า จึงคิดใช้สายสัมพันธ์ที่มีช่วยเหลือประเทศโดยไปเจรจากับ “ฮุน เซน” เพื่อให้ปล่อยตัวคนไทยกลับประเทศ
ว่ากันว่า การเดินทางไปครั้งนั้นของ “อาจารย์โต้ง” ได้ปิดห้องพูดคุยกับ“ฮุน เซน” สองต่อสองถึงสามชั่วโมง โดย“ฮุน เซน” มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า
นช.ทักษิณ มีความคิดที่จะฆ่าตนเองกับ“เจ้ารณฤทธิ์” และให้เงินสนับสนุนการทำรัฐประหาร เพื่อโค่นล้มอำนาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
พร้อมกับขอให้ “อาจารย์โต้ง” นำข้อมูลดังกล่าวกลับมาแถลงต่อสื่อสารมวลชนของไทย เพื่อแลกกับการปล่อยตัวคนไทยที่ถูกจับกุม
ส่วนนายพล ซอนซาน ที่ล้มเหลวในการปฏิวัติ ก็หลบหนีเข้ามากบดานในประเทศไทย โดยมีคนใหญ่ในรัฐบาลไทยให้ที่พำนักพักพิง
ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล “ชวน หลีกภัย” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ก็พยายามที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ผ่านวิถีทางการทูต ซึ่งมีรายงานว่า “พล.อ.ชวลิต” ได้ให้ข้อมูลกับ “ชวน” ว่า “นายพลซอนซาน” เสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งที่ข้อเท็จจริงขณะนั้น “นายพล ซอนซาน” กบดานอยู่แถวซอยราชครู จากการกางปีกปกป้องของนายทหารนอกราชการ ที่เคยดำรงตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารบางคน
อย่างไรก็ตาม เวลาต่อมามีข่าวระบุว่า รัฐบาลชวน หลีกภัย ได้ส่งตัวนายพลซอนซานไปให้รัฐบาลกัมพูชา ตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งที่เรื่องนี้เป็นประเด็นการเมืองโดยแท้ ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องคดีความทางอาญาที่เป็นเหตุอ้างไม่ให้ความร่วมมือในการส่งตัวผู้ร้ายก็ได้ แต่เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา รัฐบาลไทยก็ยอมส่งตัวนายพลซอนซาน ตามที่รัฐบาลฮุนเซน ร้องขอ ซึ่งกรณีนี้ “ฮุน เซน” ต้องไม่ลืม และควรรักษากติกาและกฎหมายของทั้งสองประเทศ รวมทั้งปฏิบัติในมาตรฐานเดียวกัน ในเรื่องนช.ทักษิณ ที่เป็นนักโทษคดีอาญาหนีคุก ไม่ใช่คดีการเมืองตามที่อ้าง
แม้ว่า จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า“นายพล ซอนซาน” เสียชีวิตหรือยัง
แต่สายสัมพันธ์ที่น่าจะขาดสะบั้นตายจากกันไปแล้วระหว่าง “นช.ทักษิณ” “ฮุนเซน” กับ “พล.อ.ชวลิต” กลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น... ทุกอย่างมีคำตอบเดียวคือ “เงิน”
กำลังโหลดความคิดเห็น