ASTVผู้จัดการรายวัน - "ประสาร"ชี้เศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้ว แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการเมือง พร้อมคาดการณ์จีดีพีปีหน้าของไทยอยู่ที่ 2.5-3.5% ซึ่งต่ำกว่ากรอบการเติบโตที่มีศักยภาพที่น่าจะโตได้ 5% ส่วน กนง. 21 ต.ค.นี้น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.25% ฉะกลุ่มขัดแย้งในประเทศอย่าป่วนประชุมอาเซียน หวั่นกระทบภาพลักษณ์ประเทศ
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ปาฐกถาในงานสัมมนาเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจไทย จะเติบโตอย่างไรปี 2553” ว่า จากการประเมินเศรษฐกิจของไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วของภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ และต่อไปก็จะเป็นการฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นในลักษณะค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ จึงต้องใช้ระยะในการฟื้นตัวพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทยก็ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศและผู้บริโภคภายในประเทศ รวมไปถึงความสามารถของรัฐบาลในการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการลงทุนต่างๆ
ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของประเทศไทยในปี 2553 น่าจะเติบโต เป็นบวกที่ประมาณ 2.5-3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่จีดีพีของไทยน่าจะโตได้ถึง 5% ซึ่งสาเหตุมาจากยังไม่สามารถบริหารจัดการกำลังการผลิตของประเทศให้อยู่ในอัตราที่เต็มกำลังได้ รวมไปถึงการลงทุนที่ยังไม่เต็มที่ ขณะที่การว่างงานก็ยังอยู่ในระดับสูงพอสมควร ซึ่งเป็นผลกระทบที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ
สำหรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินอาจมีทิศทางที่สูงขึ้น ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะยังคงตอบรับในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ด้วยความผันผวนที่ยังมีอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบาย(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2552 นี้คาดว่าที่ประชุมน่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันคือ 1.25% และน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไปจนถึงกลางปี 2553 เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนมากนัก รวมทั้งไม่มีแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ส่วนสภาพคล่องในระบบก็ยังมีสูงอยู่
ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าระบบธนาคารมีสภาพคล่องรวมกันประมาณ 2 ล้านล้านบาทในสิ้นปี 2551 นี้ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์นั้น ธนาคารขณะนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะถูกกำหนดด้วยภาวะการแข่งระหว่างธนาคารด้วยกันเอง แต่คาดว่าจะปรับขึ้นก่อนดอกเบี้ยนโยบายเล็กน้อย
“การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลียที่มีการปรับขึ้นไปนั้น เชื่อว่าจะไม่มีต่อการตัดสินใจของ ธปท.ที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามไปด้วย ของออสเตรเลียมีการปรับขึ้นในอัตราที่เล็กน้อยและคาดว่าเขาจะคงอัตราดกอเบี้ยในระดับนี้ไปตลอดปี 2553 ส่วนดอกเบี้ยของสหรัฐฯก็ยังไม่มีการปรับขึ้น” นายประสาร กล่าว
นายประสาร ยังกล่าวถึงการประชุมอาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 15 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมนี้นั้น มองว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมีการยกเลิกการประชุมเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีกเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อชื้อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายมองว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศเป็นหลัก ไม่ควรสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องความขัดแย้งกันของแต่ละฝ่ายก็อยากให้มีการพูดคุยกันภายในประเทศเท่านั้น
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ปาฐกถาในงานสัมมนาเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจไทย จะเติบโตอย่างไรปี 2553” ว่า จากการประเมินเศรษฐกิจของไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วของภาวะการถดถอยทางเศรษฐกิจ และต่อไปก็จะเป็นการฟื้นตัว ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นในลักษณะค่อยๆฟื้นตัวอย่างช้าๆ จึงต้องใช้ระยะในการฟื้นตัวพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทยก็ยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือเรื่องของเสถียรภาพทางการเมืองที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศและผู้บริโภคภายในประเทศ รวมไปถึงความสามารถของรัฐบาลในการเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการลงทุนต่างๆ
ทั้งนี้ ธนาคารคาดการณ์ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของประเทศไทยในปี 2553 น่าจะเติบโต เป็นบวกที่ประมาณ 2.5-3.5% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าศักยภาพที่จีดีพีของไทยน่าจะโตได้ถึง 5% ซึ่งสาเหตุมาจากยังไม่สามารถบริหารจัดการกำลังการผลิตของประเทศให้อยู่ในอัตราที่เต็มกำลังได้ รวมไปถึงการลงทุนที่ยังไม่เต็มที่ ขณะที่การว่างงานก็ยังอยู่ในระดับสูงพอสมควร ซึ่งเป็นผลกระทบที่ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถโตได้เต็มศักยภาพ
สำหรับอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินอาจมีทิศทางที่สูงขึ้น ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นน่าจะยังคงตอบรับในเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ด้วยความผันผวนที่ยังมีอยู่ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยนโยบาย(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะมีขึ้นในวันที่ 21 ตุลาคม 2552 นี้คาดว่าที่ประชุมน่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับปัจจุบันคือ 1.25% และน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไปจนถึงกลางปี 2553 เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ชัดเจนมากนัก รวมทั้งไม่มีแรงกดดันเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ส่วนสภาพคล่องในระบบก็ยังมีสูงอยู่
ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าระบบธนาคารมีสภาพคล่องรวมกันประมาณ 2 ล้านล้านบาทในสิ้นปี 2551 นี้ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์นั้น ธนาคารขณะนี้ยังไม่มีการปรับขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะถูกกำหนดด้วยภาวะการแข่งระหว่างธนาคารด้วยกันเอง แต่คาดว่าจะปรับขึ้นก่อนดอกเบี้ยนโยบายเล็กน้อย
“การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลียที่มีการปรับขึ้นไปนั้น เชื่อว่าจะไม่มีต่อการตัดสินใจของ ธปท.ที่จะต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตามไปด้วย ของออสเตรเลียมีการปรับขึ้นในอัตราที่เล็กน้อยและคาดว่าเขาจะคงอัตราดกอเบี้ยในระดับนี้ไปตลอดปี 2553 ส่วนดอกเบี้ยของสหรัฐฯก็ยังไม่มีการปรับขึ้น” นายประสาร กล่าว
นายประสาร ยังกล่าวถึงการประชุมอาเซียนซัมมิท ครั้งที่ 15 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมนี้นั้น มองว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมีการยกเลิกการประชุมเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีกเชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อชื้อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างแน่นอน ซึ่งอยากให้ทุกฝ่ายมองว่าเป็นการสร้างผลประโยชน์ให้กับประเทศเป็นหลัก ไม่ควรสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอีก ส่วนเรื่องความขัดแย้งกันของแต่ละฝ่ายก็อยากให้มีการพูดคุยกันภายในประเทศเท่านั้น