xs
xsm
sm
md
lg

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของโลก

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

โดย....สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์

โลกทุกวันนี้ไม่ใช่โลกของ Capitalism แต่เป็นโลกของ Fundism ช่วง 100 ปีที่ผ่านมา Capitalism แต่ละประเทศถูกถล่ม โดย Fundism ผ่านตลาดหุ้นมาโดยตลอด ตลาดหุ้นอเมริกาถูกถล่มครั้งแรกในปี 1929 ดัชนีดาวโจนตกต่ำรุนแรง 89 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เศรษฐกิจอเมริกา ประสบกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรง (Great Depression) ตอนนั้นตลาดหุ้นของประเทศต่างๆ ยังไม่เกิด หรือมีก็น้อยมาก จึงทำให้ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ น้อย ตลาดหุ้นอเมริกาถูกถล่มครั้งที่ 2 ในปี 2000 โดยถล่มที่ตลาดแนสแดกซ์ ดัชนีตลาดแนสแดกซ์ตกลงถึง 78 เปอร์เซ็นต์

การที่อเมริกาถูกถล่มในปี 2000 นั่นเอง คือจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ล่มสลายของ Capitalism ทั่วทั้งโลก เมื่อตลาดหุ้นอเมริกาพังทลาย ทำให้เงินเหรียญสหรัฐพังทลายด้วย เงินเหรียญสหรัฐเสียหาย ไม่ได้รับความเชื่อมั่น ไหลออกไปถือสกุลเงินอื่นแทน ส่งผลให้ค่าเงินประเทศต่างๆ สูงขึ้น ทุนสำรองฯ ของประเทศต่างๆ สูงขึ้น ตลาดหุ้นประเทศต่างสูงขึ้น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นแทบทุกชนิดระหว่างปี 2001 ถึงปี 2007 ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลกเพิ่มขึ้น 463 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงพังทลายอย่างรุนแรงในปี 2008 ดัชนีตลาดหุ้นรวมโลกตก 62 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่มาของวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา

ประเทศไทยถูกถล่มครั้งแรกในปี 2521(1978) หลังเปิดตลาดหุ้น 3 ปี และถูกถล่มเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2537 (1994) หลังเปิดตลาดหุ้น 16 ปี หลังตลาดหุ้นไทยพังในครั้งแรก ประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาทถึง 3 ครั้ง หลังตลาดหุ้นไทยพังในครั้งที่ 2 ประเทศไทยต้องลอยค่าเงินบาทกลางปี 2540 (1997) เวียดนามเพิ่งเปิดตลาดหุ้นไม่กี่ปี ถูกถล่มเละเช่นกัน เงิน Dong พังทลายมาถึงทุกวันนี้

การเกิดขึ้นของตลาดหุ้น คือปัญหาหลักของระบบที่ตลาดหุ้นมีปัญหา เนื่องจากมันถูกปั่นได้ ปกติการปั่นราคาน้ำตาล ข้าวโพด ก็เป็นเพียงตลาดขนาดเล็ก แต่การปั่นตลาดหุ้น คือการปั่นเศรษฐกิจของทั้งประเทศ หรือของทั้งโลกตัวอย่างความเสียหายของ 3 ประเทศดังกล่าว เป็นผลมาจากการปั่นตลาดหุ้น ลากขึ้นแรงในช่วงต้น แล้วทุบลงแรงในช่วงหลัง

นี่คือเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจโลกที่คนทั่วไปไม่ทราบ ทำให้ส่วนแบ่งทางธุรกรรมของโลกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ Capitalism เล็กลงตลอดเวลา และ Fundism เติบใหญ่ขึ้นตลอดเวลา ส่วนแบ่งสินทรัพย์ของ Capitalism เหลือ 25 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยมีส่วนแบ่ง 100 เปอร์เซ็นต์ (เมื่อยังไม่เกิดมีตลาดหุ้น) ส่วนแบ่งสินทรัพย์ของ Fundism ที่เคยมี 0 เปอร์เซ็นต์ ก็เพิ่มมาเป็น 75 เปอร์เซ็นต์

Capitalism คือระบบเศรษฐกิจจริง ผลิตจริง ขนส่งจริง ซื้อขายจริง หรือ Real trade “เป็นสัมมาอาชีวะ” กำไรแต่ละช่วงไม่มาก มีคนอยู่ในระบบนี้ 95 เปอร์เซนต์

Fundism คือระบบเศรษฐกิจไม่จริง ไม่มีสินค้ามาซื้อขายจริง ซื้อขายกระดาษกันอย่างเดียว หรือ Paper trade “เป็นมิจฉาอาชีวะ เป็นอบายมุข” ตลาดอบายมุขทำให้มีได้เสียสูง การได้เสียใน Paper trade ได้เสียมากกว่าและแน่นอนกว่าซื้อหวยบนดิน ใต้ดิน หรือสลากกินแบ่งรัฐบาล มีคนอยู่ในระบบนี้ 5 เปอร์เซ็นต์

         Fundism เป็นตัวทำให้ Capitalism มีปัญหา

ช่วงหลังตลาดหุ้นมีการพัฒนาในทางเสื่อมลง มีตลาดตราสารอนุพันธ์เกิดขึ้น คือ ตลาดขึ้นก็มีกำไร ตลาดตกก็มีกำไร ส่งผลให้ Fundism มั่งคั่งแบบท่วมโลกเร็วขึ้นและง่ายขึ้น หุ้นยิ่งขึ้นแรงเท่าใดก็จะยิ่งทำให้มีกำไรมากเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม หากตกแรงเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้มีกำไรมากเท่านั้นเช่นกัน แต่ระบบเศรษฐกิจจริงพังทลาย

ทุกวันนี้เงินท่วมโลก แต่โลกจนลง ทั้งนี้เพราะเงินนั้นไม่ใช่เงินของ Capitalism แต่มันกลายเป็นเงินของ Fundism มากขึ้นทุกวัน

World Economic forum หรือ G-20 Summit หรือ Asian Summit จะไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจอะไรได้ เป็นการผิดทิศทางของการแก้ปัญหา เนื่องจากมุ่งแก้ปัญหาที่ Capitalism เช่น การผลิต การขนส่ง การพาณิชย์ การนำเข้า การส่งออก การท่องเที่ยว การกีดกันทางการค้าทิศทางที่ถูกต้อง ต้องมาแก้ปัญหาที่ตัวกลางที่ทำให้เกิด Fundism หากไม่มีตัวกลาง ก็จะไม่มี Fundism จะทำให้ Capitalism และโลกกลับสู่ความสงบปกติดังเดิมได้
กำลังโหลดความคิดเห็น