ASTVผู้จัดการรายวัน - สึนามิหุ้นไทย ดิ่งแรงลึกสุด 60 จุด รวม 2 วันดัชนีรูด 54 จุด วอลุ่มแสนล้าน เอ็มดีตลาดหุ้นควงเลขาฯ ก.ล.ต.ออกโรงยืนยัน ข่าวลือ ไม่จริง! โบรกฯ แนะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสซื้อของถูก นายกฯ เชื่อข่าวลือถูกปล่อยทุบหุ้น ขุนคลังเตือนนักลงทุนดูปัจจัยพื้นฐาน
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 ต.ค.) ลดลงอย่างหนักต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า (14 ต.ค.) ซึ่งลดลงไป15.20 จุด โดยช่วงเช้าดัชนีติดลบ 34.34 จุด และลากยาวมาถึงการซื้อขายช่วงบ่ายจนติดลบถึง 60.75 จุด ก่อนที่จะรีบาวน์ กลับขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 692.72 จุด ลดลง 38.75 จุด หรือ -5.30% มูลค่าการซื้อขาย 53,773.90 ล้านบาท จนเกือบทำลายสถิติวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในรอบ 3 ปี 55,217.97 ล้านบาทเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 736.34 จุด และต่ำสุดที่ 670.72 จุด
สำหรับการผันผวนของตลาดหุ้นในครั้งนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งวันที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่บวกทั่วหน้า จากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มอาหาร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร ซึ่งหากรวมกับเมื่อวันที่ 14 ต.ค.พบว่าดัชนีหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปถึง 53.95 จุด และมีวอลุ่มการซื้อขายเพียง 2 วัน (14-15 ต.ค.) ถึง101,344.4 ล้านบาท
โดยมูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า กลุ่มสถาบันทำการขายสุทธิถึง 3,129.69 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 824.46 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิกลับคืนจากวันก่อนหน้า 3,954.151 ล้านบาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,712.15 จุด เพิ่มขึ้น 3.67 จุด ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,515.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.66 จุด ดัชนี ฮั่งเส็ง:ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ 21,999.08จุด เพิ่มขึ้น 112.60จุด ดัชนี SHI: ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,979.79จุด เพิ่มขึ้น 9.26 จุด ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,238.65 จุด เพิ่มขึ้น 178.44 จุด และดัชนี เวทเต็ด: ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,710.40 จุด เพิ่มขึ้น 14.65 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 5,453.99 ล้านบาท ปิดที่ 255.00 บาท ลดลง 12.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,691.41 ล้านบาท ปิดที่ 148.00 บาท ลดลง 7.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,761.24 ล้านบาท ปิดที่ 420.00 บาท ลดลง 26.00 บาทBBL มูลค่าการซื้อขาย 2,514.32 ล้านบาท ปิดที่ 120.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 2,512.46 ล้านบาท ปิดที่ 8.60 บาท ลดลง 0.85 บาท
**สื่อต่างชาติแห่รายงานข่าวหุ้นไทย
ขณะเดียวกันทางด้านสำนักข่าวต่างประเทศของโลกตะวันตกหลายๆ แห่ง เช่น บลูมเบิร์ก, เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์, ดาวโจนส์ ต่างติดตามรายงานข่าวหุ้นไทยที่ตกฮวบฮาบ โดยระบุว่าเป็นเพราะข่าวลือที่ทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกและพากันเทขาย
**ตลท.ย้ำลงทุนอย่างมีสติ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังมีการปรับตัวลดลงแรงต่อเป็นวันที่2 เนื่องจาก นักลงทุนมีความตื่นตระหนกกับข่าวลือเกี่ยวกับพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประชาชนทุกคนมีความเป็นห่วง แต่อยากให้นักลงทุนติดข่าวสารอย่างมีสติ เพราะทุกสิ้นวันทางสำนักพระราชวังจะมีการออกแถลงการณ์ให้รับทราบ ดังนั้นหากนักลงทุนมีความตื่นตกใจกับข่าวลือ ก็อาจทำให้เสียโอกาสในการลงทุนได้ และควรพิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากกว่า
ส่วนการสอบถามไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เกี่ยวกับการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาตินั้น พบว่าแรงขายที่เกิดขึ้นมาจากการปรับพอร์ตเพื่อทำกำไร จากต้นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% ซึ่งการที่ดัชนีปรับตัวลดลงตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตั้งแต่ต้นปีลดลงมาอยู่ที่ 62% แล้ว
"การที่หุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วง 1-2 วันนั้น เป็นปัจจัยระยะสั้นที่เกิดจากนักลงทุนตื่นตกใจกับข่าวลือ รวมถึงการที่นักลงทุนต่างชาติ และกองทุน มีการขายหุ้นออกมาเพื่อปรับพอร์ตจากที่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้นการที่หุ้นตกรอบนี้เชื่อว่าจะไม่กระทบกับบริษัทที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากนัก”
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พบว่า มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส2/52 มีรายได้เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาส 1 และกำไรของบจ.เพิ่มขึ้น 78% รวมถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นซึ่งอยู่ในระดับที่ดี เช่นเดียวกับเศรษฐกิจที่มีการปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแรง นั้นเป็นจังหวะดีของนักลงทุนที่มีการลงทุนยาวผ่านกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในช่วงใกล้สิ้นปี และจากการติดตามยังไม่พบว่ามีการบังคับนักลงทุนขายหุ้น (ฟอสซ์เซล) ออกมาไม่มาก เพราะ ที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์ฯก็มีการเข้มงวดในการปล่อยปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) เช่นกัน
ขณะเดียวกัน นางภัทรียา กล่าวว่า หากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง 10% จากวันก่อนหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พร้อมที่จะใช้ระบบเซอร์กิจเบรกเกอร์ เพื่อหยุดพักการซื้อขายซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที และหากดัชนีปรับตัวลดลง 20% จะมีการสั่งพักการซื้อขายเป็นเวลา 1 ชั่วโมงตามข้อกำหนด
**ก.ล.ต.เตือนอย่าตื่นข่าวลือ
นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรง เกิดจากนักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นออกมาจากพอร์ตจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลจากความกังวลในกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการแถลงข่าวของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ข่าวลือดังกล่าวไม่มีมูลความจริง นักลงทุนจึงไม่ควรตื่นตระหนกกับกระแสดข่าวลือ และยังไม่ได้มีข้อมูลใหม่ที่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
**โบรกฯ คาดวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนมาก ซึ่งสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่บวกกันทั่วหน้า เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศยังดูดี ส่วนตลาดบ้านเราได้รับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติภายหลังจากที่ไม่ความมั่นใจปัจจัยภายในประเทศ
ขณะที่วันนี้ (16 ต.ค.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อ จนกว่าจะมีภาพความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น โดยคงจะระวังแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติออกมาอีก พร้อมแนะนำนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น จะต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง โดยให้แนวรับไว้ที่ 683,680 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 712 จุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงแรง เนื่องจาก นักลงทุนกังวลว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการขายหุ้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงแรง จึงถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อีกทั้งกระแสข่าวลือภายในประเทศที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ทำให้เกิดความกังวลจนเกิดแรงเทขายหุ้นออกมากดดันดัชนีหลักทรัพย์ฯให้ปรับตัวลง สวนกับทิศทางความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายก่อนตลาดปิดการซื้อขาย เริ่มมีแรงซื้อกลับมาผลักดันดัชนีให้รีบาวน์ขึ้น เช่นเดียวกับค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ จากระหว่างวันที่อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ จึงทำให้คาดการณ์ว่าในวันนี้(16ต.ค.)มีโอกาสที่ดัชนีจะเริ่มแกว่งตัวขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักที่นักลงทุนต้องติดตามคือกระแสข่าวในประเทศ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ให้ทยอยเก็บหุ้น โดยมองว่าดัชนีหลักทรัพย์ฯได้ปรับตัวลงมาแรงจนต่ำกว่าระดับ 700 จุด ซึ่งถือว่าถูกมาก โดยประเมินแนวรับแรก 690 จุด แนวรับถัดไป 685 จุด ขณะที่แนวต้าน 700 จุด 708 จุด
**นายกฯ เชื่อมีการปล่อยข่าวร้าย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากมีการปล่อยข่าวลือในทางลบที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่จะต้องเข้าไปดูแลและจัดการ
**'กรณ์' แนะนักลงทุนอย่าตกใจ
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงตลาดหุ้นว่า เมื่อเทียบราคาหุ้นกับผลประกอบการแล้ว ราคาหุ้นของไทยยังต่ำกว่าราคาหุ้นในแถบเอเชีย เป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อ และยอมรับว่าเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามามีทั้งเงิน ลงทุนระยะยาวและการเก็งกำไร เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ว่าเงินลงทุนระยะยาวหรือลงทุนแบบเก็งกำไร ดังนั้นการที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงอาจเป็นเรื่องปกติของการลงทุน นักลงทุนต้องเข้าใจและใช้เหตุผลวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน
"การที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยช่วง 8- 9 เดือนที่ผ่านมา แสดงว่านักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อไทยมากขึ้นจากการมีเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเมือง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของไทย ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น" นายกรณ์กล่าวและว่า การดูแลข่าวสารที่เกิดขึ้นเชื่อว่า หน่วยงานทางการทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. มีมาตรการและการดูแลที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติม
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (15 ต.ค.) ลดลงอย่างหนักต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า (14 ต.ค.) ซึ่งลดลงไป15.20 จุด โดยช่วงเช้าดัชนีติดลบ 34.34 จุด และลากยาวมาถึงการซื้อขายช่วงบ่ายจนติดลบถึง 60.75 จุด ก่อนที่จะรีบาวน์ กลับขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 692.72 จุด ลดลง 38.75 จุด หรือ -5.30% มูลค่าการซื้อขาย 53,773.90 ล้านบาท จนเกือบทำลายสถิติวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในรอบ 3 ปี 55,217.97 ล้านบาทเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ซึ่งระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด 736.34 จุด และต่ำสุดที่ 670.72 จุด
สำหรับการผันผวนของตลาดหุ้นในครั้งนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งวันที่ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาคที่บวกทั่วหน้า จากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ และสถาบัน โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มอาหาร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร ซึ่งหากรวมกับเมื่อวันที่ 14 ต.ค.พบว่าดัชนีหุ้นมีการปรับตัวลดลงไปถึง 53.95 จุด และมีวอลุ่มการซื้อขายเพียง 2 วัน (14-15 ต.ค.) ถึง101,344.4 ล้านบาท
โดยมูลค่าการซื้อขายเมื่อแยกเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า กลุ่มสถาบันทำการขายสุทธิถึง 3,129.69 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 824.46 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิกลับคืนจากวันก่อนหน้า 3,954.151 ล้านบาท
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,712.15 จุด เพิ่มขึ้น 3.67 จุด ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,515.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.66 จุด ดัชนี ฮั่งเส็ง:ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ 21,999.08จุด เพิ่มขึ้น 112.60จุด ดัชนี SHI: ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,979.79จุด เพิ่มขึ้น 9.26 จุด ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 10,238.65 จุด เพิ่มขึ้น 178.44 จุด และดัชนี เวทเต็ด: ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 7,710.40 จุด เพิ่มขึ้น 14.65 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 5,453.99 ล้านบาท ปิดที่ 255.00 บาท ลดลง 12.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,691.41 ล้านบาท ปิดที่ 148.00 บาท ลดลง 7.00 บาท BANPU มูลค่าการซื้อขาย 2,761.24 ล้านบาท ปิดที่ 420.00 บาท ลดลง 26.00 บาทBBL มูลค่าการซื้อขาย 2,514.32 ล้านบาท ปิดที่ 120.00 บาท ลดลง 8.00 บาท และ CPF มูลค่าการซื้อขาย 2,512.46 ล้านบาท ปิดที่ 8.60 บาท ลดลง 0.85 บาท
**สื่อต่างชาติแห่รายงานข่าวหุ้นไทย
ขณะเดียวกันทางด้านสำนักข่าวต่างประเทศของโลกตะวันตกหลายๆ แห่ง เช่น บลูมเบิร์ก, เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์, ดาวโจนส์ ต่างติดตามรายงานข่าวหุ้นไทยที่ตกฮวบฮาบ โดยระบุว่าเป็นเพราะข่าวลือที่ทำให้พวกนักลงทุนต่างชาติตื่นตระหนกและพากันเทขาย
**ตลท.ย้ำลงทุนอย่างมีสติ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังมีการปรับตัวลดลงแรงต่อเป็นวันที่2 เนื่องจาก นักลงทุนมีความตื่นตระหนกกับข่าวลือเกี่ยวกับพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประชาชนทุกคนมีความเป็นห่วง แต่อยากให้นักลงทุนติดข่าวสารอย่างมีสติ เพราะทุกสิ้นวันทางสำนักพระราชวังจะมีการออกแถลงการณ์ให้รับทราบ ดังนั้นหากนักลงทุนมีความตื่นตกใจกับข่าวลือ ก็อาจทำให้เสียโอกาสในการลงทุนได้ และควรพิจารณาการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักมากกว่า
ส่วนการสอบถามไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เกี่ยวกับการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาตินั้น พบว่าแรงขายที่เกิดขึ้นมาจากการปรับพอร์ตเพื่อทำกำไร จากต้นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 65% ซึ่งการที่ดัชนีปรับตัวลดลงตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตั้งแต่ต้นปีลดลงมาอยู่ที่ 62% แล้ว
"การที่หุ้นปรับตัวลดลงแรงในช่วง 1-2 วันนั้น เป็นปัจจัยระยะสั้นที่เกิดจากนักลงทุนตื่นตกใจกับข่าวลือ รวมถึงการที่นักลงทุนต่างชาติ และกองทุน มีการขายหุ้นออกมาเพื่อปรับพอร์ตจากที่ต้นปี นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ดังนั้นการที่หุ้นตกรอบนี้เชื่อว่าจะไม่กระทบกับบริษัทที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากนัก”
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย ในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พบว่า มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส2/52 มีรายได้เพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาส 1 และกำไรของบจ.เพิ่มขึ้น 78% รวมถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นซึ่งอยู่ในระดับที่ดี เช่นเดียวกับเศรษฐกิจที่มีการปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแรง นั้นเป็นจังหวะดีของนักลงทุนที่มีการลงทุนยาวผ่านกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีในช่วงใกล้สิ้นปี และจากการติดตามยังไม่พบว่ามีการบังคับนักลงทุนขายหุ้น (ฟอสซ์เซล) ออกมาไม่มาก เพราะ ที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์ฯก็มีการเข้มงวดในการปล่อยปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) เช่นกัน
ขณะเดียวกัน นางภัทรียา กล่าวว่า หากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง 10% จากวันก่อนหน้า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็พร้อมที่จะใช้ระบบเซอร์กิจเบรกเกอร์ เพื่อหยุดพักการซื้อขายซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที และหากดัชนีปรับตัวลดลง 20% จะมีการสั่งพักการซื้อขายเป็นเวลา 1 ชั่วโมงตามข้อกำหนด
**ก.ล.ต.เตือนอย่าตื่นข่าวลือ
นายธีรชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรง เกิดจากนักลงทุนต่างชาติมีการเทขายหุ้นออกมาจากพอร์ตจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลจากความกังวลในกระแสข่าวลือที่เกิดขึ้น ซึ่งจากการแถลงข่าวของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ข่าวลือดังกล่าวไม่มีมูลความจริง นักลงทุนจึงไม่ควรตื่นตระหนกกับกระแสดข่าวลือ และยังไม่ได้มีข้อมูลใหม่ที่ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
**โบรกฯ คาดวันนี้มีโอกาสรีบาวน์
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ผันผวนมาก ซึ่งสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่บวกกันทั่วหน้า เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศยังดูดี ส่วนตลาดบ้านเราได้รับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติภายหลังจากที่ไม่ความมั่นใจปัจจัยภายในประเทศ
ขณะที่วันนี้ (16 ต.ค.) คาดว่าตลาดหุ้นไทยจะยังผันผวนต่อ จนกว่าจะมีภาพความเชื่อมั่นที่ดีขึ้น โดยคงจะระวังแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนต่างชาติออกมาอีก พร้อมแนะนำนักลงทุนที่ลงทุนระยะสั้น จะต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง โดยให้แนวรับไว้ที่ 683,680 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 712 จุด
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะหลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงแรง เนื่องจาก นักลงทุนกังวลว่านักลงทุนต่างชาติจะมีการขายหุ้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงแรง จึงถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อีกทั้งกระแสข่าวลือภายในประเทศที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ทำให้เกิดความกังวลจนเกิดแรงเทขายหุ้นออกมากดดันดัชนีหลักทรัพย์ฯให้ปรับตัวลง สวนกับทิศทางความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายก่อนตลาดปิดการซื้อขาย เริ่มมีแรงซื้อกลับมาผลักดันดัชนีให้รีบาวน์ขึ้น เช่นเดียวกับค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ จากระหว่างวันที่อ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ จึงทำให้คาดการณ์ว่าในวันนี้(16ต.ค.)มีโอกาสที่ดัชนีจะเริ่มแกว่งตัวขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักที่นักลงทุนต้องติดตามคือกระแสข่าวในประเทศ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ให้ทยอยเก็บหุ้น โดยมองว่าดัชนีหลักทรัพย์ฯได้ปรับตัวลงมาแรงจนต่ำกว่าระดับ 700 จุด ซึ่งถือว่าถูกมาก โดยประเมินแนวรับแรก 690 จุด แนวรับถัดไป 685 จุด ขณะที่แนวต้าน 700 จุด 708 จุด
**นายกฯ เชื่อมีการปล่อยข่าวร้าย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากมีการปล่อยข่าวลือในทางลบที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่จะต้องเข้าไปดูแลและจัดการ
**'กรณ์' แนะนักลงทุนอย่าตกใจ
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงตลาดหุ้นว่า เมื่อเทียบราคาหุ้นกับผลประกอบการแล้ว ราคาหุ้นของไทยยังต่ำกว่าราคาหุ้นในแถบเอเชีย เป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาซื้อ และยอมรับว่าเงินต่างชาติที่ไหลเข้ามามีทั้งเงิน ลงทุนระยะยาวและการเก็งกำไร เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด ว่าเงินลงทุนระยะยาวหรือลงทุนแบบเก็งกำไร ดังนั้นการที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงอาจเป็นเรื่องปกติของการลงทุน นักลงทุนต้องเข้าใจและใช้เหตุผลวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนตัดสินใจลงทุน
"การที่เงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยช่วง 8- 9 เดือนที่ผ่านมา แสดงว่านักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อไทยมากขึ้นจากการมีเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเมือง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชียดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะในส่วนของไทย ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น" นายกรณ์กล่าวและว่า การดูแลข่าวสารที่เกิดขึ้นเชื่อว่า หน่วยงานทางการทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. มีมาตรการและการดูแลที่ดีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไรเพิ่มเติม