xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยรูดสวนภูมิภาคต่างชาติเทขาย 4 พันล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หุ้นไทยรูดสวนตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ดิ่งลงกว่า 15 จุด โดยระหว่างวันตกลงแดนลบถึง 32.28 จุด ต่างชาติขายสุทธิทำกำไรเกือบ 4,000 ล้าน ดันวอลุ่มซื้อขายแตะ 4.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปี

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14ต.ค.) ตั้งแต่ช่วงเช้าดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงเกินความคาดหมาย 10.22 จุด ก่อนดิ่งลงสู่แดนลบอย่างต่อเนื่องในช่วงบ่าย โดยปิดตลาดที่ระดับ 731.47 จุด ลดลง 15.20 จุด -2.04% มูลค่าการซื้อขาย 47,570.50 ล้านบาท ซึ่งเป็นวอลุ่มการซื้อขายสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ที่มีวอลุ่มซื้อขาย 55,217.97 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการตื่นตระหนกหลังมีกระแสข่าวลือเชิงลบหลายเรื่องเข้ามาส่งผลกระทบในตลาดหุ้นไทย จนเกิดการเทขายหุ้นกลุ่มหลัก ได้แก่พลังงงาน และสถาบันการเงิน ส่งผลให้ดัชนีเคลื่อนไหวสวนทางตลาดภูมิภาคที่ต่างบวกกันทั่วหน้า

โดยระหว่างวัน ดัชนีปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 752.22 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 741.39 จุด หรือลดลง32.28 จุด สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ พบว่า เพิ่มขึ้น 34 หลักทรัพย์ ลดลง 390 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 63 หลักทรัพย์ ส่วน5อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่ PTT มูลค่าการซื้อขาย 5,711.52 ล้านบาท ปิดที่ 267.00 บาท ลดลง 6.00 บาท PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 4,655.33 ล้านบาท ปิดที่ 155.00 บาท ลดลง 0.50 บาท TTA มูลค่าการซื้อขาย 1,981.81 ล้านบาท ปิดที่ 29.75 บาท ลดลง 0.75 บาท KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,566.01 ล้านบาท ปิดที่ 86.50 บาท ลดลง 2.50 บาท และCPF มูลค่าการซื้อขาย 1,536.16 ล้านบาท ปิดที่ 9.45 บาท ลดลง 0.15 บาท

ทั้งนี้เมื่อแยกประเภทการซื้อขายของกลุ่มนักลงทุนพบว่า ขายสุทธิถึง 3,978.39 ล้านบาท ขณะที่สถาบันขายสุทธิ 98.32 ล้านบาท โดยนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิรวม 4,076.71 ล้านบาท

ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค พบว่า ดัชนีสเตรทส์ไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดปรับตัวสูงขึ้น ตามกระแสตลาดหุ้นอื่นในเอเชียที่ปิดในแดนลบเกือบทั้งหมดโดยบวก 40.08 จุด หรือ 1.50% ปิดที่ 2,708.48 จุด ปริมาณการซื้อขาย 1.88 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่ตลาดหุ้นมาเลเซีย ดัชนีคอมโพสิตปิดตลาดวันพุธที่ระดับ 1,246.84 จุด เพิ่มขึ้น 13.33 จุด เปลี่ยนแปลง 1.08% และ ดัชนีหั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาด 21,886.48 บวก 419.12 จุดเปลี่ยนแปลง 1.95% มูลค่าซื้อขาย 64.56 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือ 8.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

บิ๊ก ตลท.เชื่อหุ้นวูบแค่พักฐาน

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยถึง ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 ต.ค.)ที่ปรับตัวลดลงแรงว่า เนื่องจาก นักลงทุนมีการขายทำกำไรออกมาจากที่ดัชนีตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและเร็ว เพื่อเป็นการปรับพอร์ตการลงทุนซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 65% และมูลค่าการซื้อขายก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเช่นกัน ซึ่งปกติแล้วเมื่อดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงก็จะมีการปรับตัวลดลงบ้างเป็นช่วงๆจึงถือเป็นปกติที่จะมีการปรับตัวลดลงมาเพื่อพักฐาน

“ส่วนตัวยังไม่เห็นข่าวที่จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงรุนแรง ซึ่งมองว่าการที่หุ้นลงเกิดจากนักลงทุนมีการขายหุ้นทำกำไรออกมาบ้าง หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและเร็ว ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมาพบว่าดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น65% และเมื่อดัชนีปรับตัวแรงก็จะมีการปรับตัวลดลงเป็นช่วงๆทำให้ภาวะตลาดมีความผันผวน ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามข้อมูลข่าวสารประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วย” นางภัทรียา กล่าว

ด้านนายวิรไท สันติประภพ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้นแรงโดยในเดือนตุลาคม ขึ้นมา 9.8% จากเดือนสิงหาคม เพราะเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุน โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิถึง 5.5 หมื่นล้านบาท จึงอาจมีการขายออกมาเป็นระยะได้บ้าง

ทั้งนี้คาดว่าเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศจะยังไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่ เพราะ ไทยและประเทศในกลุ่มเอเชียตะวันออกมีความเสี่ยงต่ำ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจรอบนี้นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์มองว่าระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในแถบเอเชียตะวันออก มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน เนื่องจากสภาพคล่องในประเทศยังสูงเมื่อเทียบกับความต้องการสินเชื่อ แม้นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อต่อเนื่องแต่ดัชนีอาจมีการปรับฐานลดลงบ้างทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงบ้าง

สำหรับกรณีรัฐบาล วางแผนการใส่เงินในมาตรการไทยเข้มแข็งนั้น มองว่าจะส่งผลดีกับตลาดทุนไทยโดยรวม เพราะจะกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะมีส่วนทำให้บริษัทจดทะเบียนต้องการระดมทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการไทยเข้มแข็ง เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพราะ มาตรการดังกล่าวมีโครงการที่จะลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคจำนวนมาก เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่ม อุตสาหกรรมอาหารฯลฯ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นบจ.เพิ่มทุนตั้งแต่นี้เป็นต้นไป จากภาวะตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น ช่วยสร้างความเชื่อมั่นทางจิตวิทยาว่าจะทำให้การเพิ่มทุนของบริษัทประสบความสำเร็จ

“3-5 ปีที่ผ่านมา ปัญหาของเศรษฐกิจไทย คือมีการลงทุนในระดับต่ำ แต่มาตรการไทยเข้มแข็งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในหลายส่วน ธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์เช่น วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรมอาหาร ฯลฯ ซึ่งบริษัทที่จะต้องเพิ่มทุนนั้น ต้องไปดูว่าบริษัทใดมีหนี้ต่อทุน(D/E) แค่ไหน แล้วซึ่งหากบจ.ต้องการใช้เงินก็ต้องมาระดมทุนหุ้นและการที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ก็จะส่งผลดีทำให้มีการเพิ่มทุนสำเร็จได้ง่าย”

โบรกฯ ชี้จับตาเม็ดเงินต่างชาติ

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้คอร์ป(ประเทศไทย) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวานนี้ตลาดหุ้นไทยเจอกระแสข่าวลือออกมามาก ทำให้นักลงทุนถือโอกาส take profit หุ้นออกมา ซึ่งกระแสข่าวนี้จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือนักลงทุนใช้ปัจจัยลบนี้มาเป็นปัจจัยที่ทำให้ขายหุ้นออกมา อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้วด้วย

ด้าน นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่ายเกิดการเทขายมาก จากหลายกระแสข่าวที่ออกมา ทำให้ตลาดบ้านเราเคลื่อนไหวสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า

"ที่ผ่านมาตลาดฯก็ปรับตัวขึ้นมาตลอด พอมีกระแสข่าวในเชิงลบก็ทำให้ตลาดฯพร้อมที่จะอ่อนตัวลง แต่บ่ายนี้ตลาดบ้านเรา panic แรง จากหลายกระแสข่าว ดังนั้นจะต้องจับตาดูยอดซื้อ/ขายของต่างชาติว่าเป็นแบบไหน หากออกมาเป็นยอดขายสุทธิ ก็จะมีผลต่อ Sentiment ของตลาดหุ้น แต่หากยอดต่างชาติออกมาเป็นซื้อสุทธิ ก็อาจจะทำให้ตลาดฯมีการรีบาวน์ได้ในวันนี้"นายวีระชัย กล่าว

โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(15 ต.ค.) ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะเกิดเทคนิคเคิลรีบาวน์ได้ แต่ก็คงจะเล็กน้อย พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 718-715 จุด แนวต้าน 735 จุด

วันนี้มีโอกาสรีบาวน์สูง

นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าที่ผ่านมา ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นแถบภูภาคเอเชียส่วนใหญ่ ซึ่งภาพรวมตลาดฯยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นปิดตลาดอยู่ที่ 74.15 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ ทำให้เป็นตัวผลักดันหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งเป็นตัวชี้นำดัชนีฯในช่วงเช้า อย่างไรก็ตาม ในช่วงเปิดการซื้อขายในช่วงบ่ายดัชนีฯปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงพอสมควรโดยติดลบกว่า 30 จุด ซึ่งเชื่อว่ามาจากปัจจัยลบภายในประเทศ ที่นักลงทุนในน้ำหนักพอสมควร แต่ก็มีแรงรีบาวน์กลับเข้ามา ดังนั้นจำเป็นต้องรอดูความชัดเจนต่อไป

สำหรับ ดัชนีหุ้นไทยวานนี้คาดว่าจะรีบาวน์ เพราะไม่มีปัจจัยที่เข้ามากดดันที่ชัดเจน ซึ่งต้องติดตามความชัดเจนของปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อตลาดฯว่าเป็นอย่างไร โดยขณะนี้ปัจจัยต่างประเทศก็มีความแข็งแกร่งอยู่ ดังนั้น คาดว่าดัชนีฯจะรีบาวน์ โดยเคลื่อนไหวทดสอบแนวต้านที่ 735-742 จุด ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน คือ แนะนำ “เทรดดิ้ง” เพราะคาดว่าดัชนีฯจะรีบาวน์ โดยประเมินแนวรับดัชนีฯ ไว้ที่ 720-715 จุด แนวต้าน 735-742 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น