ASTV ผู้จัดการายวัน – “ก้องเกียรติ”มองภาวะหุ้นไทยมีโอกาสแตะ 800 จุด แต่ระหว่างทางอาจมีปรับฐานบ้าง ระบุเม็ดเงินต่างชาติยังไหลเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก ดันดันชีตลาดต่างๆดีดตัว แต่เตือนระวังความผันผวน ส่วนเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวแล้วหรือไม่ ยังสรุปไม่ได้ ต้องขอดูมาตรการต่างๆในปีหน้าก่อน เหตุหลายประเทศเอ็นพีแอลยังสูง ด้านดัชนีวานนี้ลดลง 0.51 จุด ผันผวนในกรอบแคบ นักลงทุนโยกเล่นหุ้นเล็ก ส่วนต่างชาติซื้อสุทธิสะสมถึง 5หมื่นล้านแล้ว โบรกฯแนะจับตาทิศทางเม็ดเงินควบคู่กับค่าเงินดอลลาร์
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในปัจจุบันว่า เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เมื่อดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ย่อมจะมีการพักฐานเช่นกัน อย่างไรก็ตามก็ยังจะมีเม็ดเงินลงทุนแห่เข้ามา โดยจะส่งผลให้ดัชนีมีความผันผวนสูง ทำให้เวลาหุ้นปรับตัวขึ้นก็จะขึ้นแรง และหากมีการปรับตัวลดลงก็จะลดลงแรงเช่นกัน
ดังนั้น การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 800 จุดนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ เรื่องยากแต่ก็อาจมีการปรับฐานบ้างซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่ว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวจริงหรือไม่เช่นกัน
โดยที่ผ่านมาเมื่อได้รับฟังความเห็นจากบุคคลต่างๆนั้น ล้วนมีมุมมองว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว แต่จะเป็นการฟื้นตัวที่ยั่งยืนหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องรอดูว่าหลังจากที่รัฐบาลมีการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วภาคเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องแค่ไหน โดยนักลงทุนจะต้องมีการติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องเพื่อประกอบการพิจารณาการลงทุน
“เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเนื่อง จึงทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์การแกว่งตัวของดัชนีจะมีความห่างกันเยอะ แม้เศรษฐกิจไม่ต่างกัน แต่ตลาดหุ้นจะแกว่งตัวรุนแรง ส่วนดัชนีจะมีการขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เราต้องดูว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือไม่ แต่ระหว่างทางอาจมีการปรับฐานบ้าง ”นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับแนวโน้มไตรมาส4/52 ทิศทางตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรนั้น นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จะต้องมีการประเมินสถานการณ์ปีหน้าว่าแต่ละประเทศมีมาตรการอะไรใหม่ๆในการฟื้นเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบเข้ามาเชื่อว่าดัชนีจะมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า แต่ก็ยังคงมีปัจจัยที่น่าห่วง เพราะ ธนาคารต่างประเทศหลายแห่งยังมีหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงปีหน้าอยู่ โดยถือว่าปีนี้เป็นปีแห่งการปรับตัว ทำให้ในช่วงกลางปีหน้านักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวังการการลงทุน
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงปัจจัยทางการเมืองนั้นว่าเป็นปัจจัยที่กดดัน แต่ปัจจุบันยังไม่เป็นปัญหาที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศให้ความกังวลมากนัก แต่ก็จะต้องมีความระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรง เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อการเข้ามาลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ
**หุ้นไทยมีโอกาสเข้าสู่ปรับฐาน**
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นวานนี้ ดัชนีปิดที่ระดับ 713.16 จุด ลดลง 0.51 จุด หรือ -0.07% มูลค่าการซื้อขาย 18,191 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 716.86 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 711.62 จุด และเมื่อแยกมูลค่าซื้อขายเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 20.00 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 284.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 304.55 ล้านบาท
ขณะที่เมื่อปริมาณการซื้อขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี (1ม.ค.-21ก.ย.) พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 16,340.67 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ 34,490.99 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิสะสมแล้ว 50,831.66 ล้านบาท นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รายงานสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18ก.ย.) พบว่า มีการซื้อสุทธิ 1,022.18 ล้านบาท
นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ว่า ดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกัน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกใหม่ๆชี้นำ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนจะอยู่ในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กๆมากขึ้น หลังหุ้นขนาดใหญ่พักฐาน จึงส่งผลให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ (22 ก.ย.) ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะ Sideway เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยโดดเด่นเข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน โดยต้องดูทิศทางของราคาน้ำมันประกอบด้วย ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็อาจส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงาน และเป็นตัวสนับสนุนทิศทางของดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังต้องติดตาม ประเด็นการเมืองภายในประเทศ ซึ่งในส่วนของคดีทุจริตกล้ายาง ศาลฎีกาฯที่ได้พิพากษายกฟ้อง ไปแล้ว เหลือเพียงการชี้มูลความผิดกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก โดยประเมินแนวรับของดัชนีฯอยู่ที่ 710 จุดและ 700 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 720-725 จุด หากทะลุผ่านได้มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 750 จุด
นางธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ค่อนข้างผันผวนในกรอบแคบ โดยดัชนีฯจะคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงการเคลื่อนที่ไม่ไกลนัก ทั้งนี้ มองว่า นักลงทุนทำการโยกย้ายการลงทุนจากหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ เข้าสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งนักลงทุนเลือกที่จะให้น้ำหนักการลงทุนเพียงบางหุ้น
ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์ อาจต้องเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ถึงทิศทางของเม็ดเงินต่างชาติ ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลกระทบต่อดัชนีฯหุ้นไทยให้เข้าสู่ช่วงการปรับฐานได้
โดยในวันนี้คาดว่าดัชนีฯจะยังเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ซึ่งนักลงทุนจะยังคงพิจารณาติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์ รวมทั้งปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ได้แก่ การแสดงความคิดเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
“เราแนะนำว่า นักลงทุนยังสามารถเก็งกำไรได้ หากดัชนีฯยังเคลื่อนไหวไม่หลุดบริเวณ 710 จุด ซึ่งหากหลุด 710 จุดนั้น สัญญาณทางเทคนิคจะดูไม่ดีนัก จึงแนะนำให้ขาย ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 705-696 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 719 จุด และ 725 จุด”
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)หรือ ASP เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในปัจจุบันว่า เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เมื่อดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ย่อมจะมีการพักฐานเช่นกัน อย่างไรก็ตามก็ยังจะมีเม็ดเงินลงทุนแห่เข้ามา โดยจะส่งผลให้ดัชนีมีความผันผวนสูง ทำให้เวลาหุ้นปรับตัวขึ้นก็จะขึ้นแรง และหากมีการปรับตัวลดลงก็จะลดลงแรงเช่นกัน
ดังนั้น การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 800 จุดนั้น ส่วนตัวมองว่าไม่ใช่ เรื่องยากแต่ก็อาจมีการปรับฐานบ้างซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่ว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวจริงหรือไม่เช่นกัน
โดยที่ผ่านมาเมื่อได้รับฟังความเห็นจากบุคคลต่างๆนั้น ล้วนมีมุมมองว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัว แต่จะเป็นการฟื้นตัวที่ยั่งยืนหรือไม่ เรื่องนี้จะต้องรอดูว่าหลังจากที่รัฐบาลมีการดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วภาคเอกชนจะมีการลงทุนเพิ่มเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่องแค่ไหน โดยนักลงทุนจะต้องมีการติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่องเพื่อประกอบการพิจารณาการลงทุน
“เม็ดเงินต่างชาติยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกต่อเนื่อง จึงทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์การแกว่งตัวของดัชนีจะมีความห่างกันเยอะ แม้เศรษฐกิจไม่ต่างกัน แต่ตลาดหุ้นจะแกว่งตัวรุนแรง ส่วนดัชนีจะมีการขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เราต้องดูว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจริงหรือไม่ แต่ระหว่างทางอาจมีการปรับฐานบ้าง ”นายก้องเกียรติกล่าว
สำหรับแนวโน้มไตรมาส4/52 ทิศทางตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรนั้น นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จะต้องมีการประเมินสถานการณ์ปีหน้าว่าแต่ละประเทศมีมาตรการอะไรใหม่ๆในการฟื้นเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบเข้ามาเชื่อว่าดัชนีจะมีการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า แต่ก็ยังคงมีปัจจัยที่น่าห่วง เพราะ ธนาคารต่างประเทศหลายแห่งยังมีหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)จำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงปีหน้าอยู่ โดยถือว่าปีนี้เป็นปีแห่งการปรับตัว ทำให้ในช่วงกลางปีหน้านักลงทุนจะต้องมีความระมัดระวังการการลงทุน
นายก้องเกียรติ กล่าวถึงปัจจัยทางการเมืองนั้นว่าเป็นปัจจัยที่กดดัน แต่ปัจจุบันยังไม่เป็นปัญหาที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศให้ความกังวลมากนัก แต่ก็จะต้องมีความระมัดระวังไม่ให้เหตุการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรง เพื่อที่จะได้ไม่กระทบต่อการเข้ามาลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ
**หุ้นไทยมีโอกาสเข้าสู่ปรับฐาน**
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นวานนี้ ดัชนีปิดที่ระดับ 713.16 จุด ลดลง 0.51 จุด หรือ -0.07% มูลค่าการซื้อขาย 18,191 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 716.86 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 711.62 จุด และเมื่อแยกมูลค่าซื้อขายเป็นประเภทนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 20.00 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 284.55 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 304.55 ล้านบาท
ขณะที่เมื่อปริมาณการซื้อขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี (1ม.ค.-21ก.ย.) พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 16,340.67 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปที่ขายสุทธิ 34,490.99 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิสะสมแล้ว 50,831.66 ล้านบาท นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้รายงานสัดส่วนการลงทุนของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (14-18ก.ย.) พบว่า มีการซื้อสุทธิ 1,022.18 ล้านบาท
นายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ว่า ดัชนีฯเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆทั้งในแดนบวกและแดนลบสลับกัน เนื่องจากตลาดหุ้นไทยขาดปัจจัยบวกใหม่ๆชี้นำ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนจะอยู่ในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กๆมากขึ้น หลังหุ้นขนาดใหญ่พักฐาน จึงส่งผลให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก
สำหรับแนวโน้มดัชนีฯในวันนี้ (22 ก.ย.) ประเมินว่า ดัชนีฯน่าจะ Sideway เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยโดดเด่นเข้ามาสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน โดยต้องดูทิศทางของราคาน้ำมันประกอบด้วย ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็อาจส่งผลดีต่อกลุ่มพลังงาน และเป็นตัวสนับสนุนทิศทางของดัชนีฯอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังต้องติดตาม ประเด็นการเมืองภายในประเทศ ซึ่งในส่วนของคดีทุจริตกล้ายาง ศาลฎีกาฯที่ได้พิพากษายกฟ้อง ไปแล้ว เหลือเพียงการชี้มูลความผิดกรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ ซื้อเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก โดยประเมินแนวรับของดัชนีฯอยู่ที่ 710 จุดและ 700 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 720-725 จุด หากทะลุผ่านได้มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 750 จุด
นางธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวานนี้ค่อนข้างผันผวนในกรอบแคบ โดยดัชนีฯจะคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังคงการเคลื่อนที่ไม่ไกลนัก ทั้งนี้ มองว่า นักลงทุนทำการโยกย้ายการลงทุนจากหุ้นที่มีมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ เข้าสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งนักลงทุนเลือกที่จะให้น้ำหนักการลงทุนเพียงบางหุ้น
ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่มีความสอดคล้องกับทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์ อาจต้องเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ถึงทิศทางของเม็ดเงินต่างชาติ ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลกระทบต่อดัชนีฯหุ้นไทยให้เข้าสู่ช่วงการปรับฐานได้
โดยในวันนี้คาดว่าดัชนีฯจะยังเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบ ซึ่งนักลงทุนจะยังคงพิจารณาติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลดอลลาร์ รวมทั้งปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ได้แก่ การแสดงความคิดเห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
“เราแนะนำว่า นักลงทุนยังสามารถเก็งกำไรได้ หากดัชนีฯยังเคลื่อนไหวไม่หลุดบริเวณ 710 จุด ซึ่งหากหลุด 710 จุดนั้น สัญญาณทางเทคนิคจะดูไม่ดีนัก จึงแนะนำให้ขาย ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 705-696 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 719 จุด และ 725 จุด”