xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯชี้ศก.ส่อแววฟื้นแต่ยังเสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินในช่วงที่เหลือของปีมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกเพิ่มขึ้นเป็น 97% แต่เตือนยังมีปัจจัยเสี่ยงทั้งในส่วนของความยั่งยืนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า และปัจจัยภายในด้านความต่อเนื่องในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พร้อมปรับกรอบจีดีพีปีนี้ให้แคบลงในะดับหดตัว 3.5-4.1%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในไตรมาส 3 ปีนี้ จะยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หลังจากที่เริ่มกลับมาขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ที่ร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนคาดว่าจีดีพีในไตรมาสที่ 3 จะหดตัวไม่เกินร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นอัตราลบที่ชะลอลงกว่าในไตรมาสที่ 2 ที่หดตัวร้อยละ 4.9 ซึ่งสอดคล้องเครื่องชี้เศรษฐกิจที่ได้มีการรายงานออกมา ที่สะท้อนการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมเศรษฐกิจเกือบทุกด้าน

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ จากการวิเคราะห์โอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจพบว่า โอกาสความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกในระยะ 3 เดือนข้างหน้า(ตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 97 สูงขึ้นค่อนข้างมากจากระดับเฉลี่ยร้อยละ 84 ในเดือนก่อนหน้า โดยถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยลบอื่นนอกเหนือจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สะท้อนผ่านมาจากตัวแปรชี้นำแล้ว ก็คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2552 น่าจะมีอัตราขยายตัวเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กลับมาเป็นบวกได้

ทั้งนี้ จากทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยังมีความเสี่ยงที่ลดลงของเหตุการณ์ที่อาจนำไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรง อาทิ เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง และการกลับมาแพร่ระบาดรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับกรอบประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2552 นี้ ให้แคบลงมาอยู่ในช่วงระหว่างหดตัวร้อยละ 3.5-4.1 จากประมาณการเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจอาจจะหดตัวร้อยละ 3.5-5.0 สำหรับแนวโน้มในปี 2553 คาดว่า เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้อยู่ในช่วงร้อยละ 2.5-3.5

สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ได้แก่ ความยั่งยืนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย โดยเฉพาะสหรัฐฯ ยูโรโซน ญี่ปุ่น และจีน รวมทั้งความคืบหน้าของแผนกระตุ้นการลงทุนของภาครัฐผ่านโครงการไทยเข้มแข็ง ส่วนการขยายตัวของภาคการบริโภคและการลงทุนของเอกชนน่าจะเกิดขึ้นตามมาหลังจากเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของวัฏจักรเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนนั้นอาจจะเห็นได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 2 ถึงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ไปแล้ว เนื่องจากโดยปกติแล้วมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนจะเกิดเม็ดเงินหมุนเวียนลงไปสู่ระบบเศรษฐกิจค่อนข้างช้ากว่ามาตรการกระตุ้นที่เป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้บริโภคโดยตรง แต่มีข้อดีคือสามารถก่อให้เกิดผลทวีคูณจากการหมุนของเศรษฐกิจหลายรอบ อีกทั้งยังมีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของประเทศในอนาคต

ขณะที่ประเด็นภายในประเทศ ปัจจัยทางการเมืองยังมีประเด็นที่ต้องติดตามหลายเรื่อง ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบการทุจริตในโครงการสำคัญของรัฐ และความมีเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล เป็นต้น ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ ได้แก่ แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น และการคลี่คลายปัญหาความไม่ชัดเจนของหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลงทุนในโครงการที่มีการกำหนดกรอบแนวทางไว้เป็นการเฉพาะตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงการทำความเข้าใจต่อประเด็นดังกล่าวกับนักลงทุน เป็นต้น

ทั้งนี้ แม้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าความเสี่ยงที่จะฉุดให้เศรษฐกิจไทยกลับมาทรุดตัวลงอย่างรุนแรงนั้น อาจลดน้อยลงแล้วในช่วงระยะเวลาที่เหลือของปีนี้ แต่เศรษฐกิจยังคงเผชิญปัจจัยความไม่แน่นอน ที่อาจทำให้กลับมาชะลอตัว หรือมีการฟื้นตัวในลักษณะรูปตัว W ได้ โดยต้องยอมรับว่าแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความสำเร็จของการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นกุญแจสำคัญ ดังนั้น หากเกิดสถานการณ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัว โดยเฉพาะประเด็นที่จะกระทบต่อดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็อาจจะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจขาดความต่อเนื่องได้.
กำลังโหลดความคิดเห็น