ศูนย์วิจัยกสิกรฯ เตือนรัฐบาล พิจารณาข้อดีข้อเสียให้รอบคอบ-ระมัดระวัง หากจะใช้นโยบายในการดูแลอัตราเงินเฟ้อ ทั้งการปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำ-เงินเดือนข้าราชการ การควบคุมปริมาณการบริโภคพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมัน และการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังที่ตึงตัว ขณะที่ปัญหาเฉพาะหน้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ที่ เชื่อจะมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ เพราะอยู่ที่การปรับตัวของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์
วันนี้(4 พ.ค.) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวถึงรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 สูงที่สุดในรอบ 23 เดือน และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 5.3 จนกระทั่งหลายหน่วยงานล้วนมีการทบทวนประมาณการอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2551 เพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 4-5 จากประมาณการเดิมที่ร้อยละ 2.8-4.0 กระทรวงพาณิชย์ปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปขึ้นมาที่ร้อยละ 5-5.5 จากร้อยละ 3-3.5 ขณะที่รัฐบาลได้มีการประกาศแผนยุทธศาสตร์เพื่อรองรับสถานการณ์วิกฤติอาหารและพลังงานให้เป็นวาระแห่งชาติแล้ว
ทั้งนี้ การรับมือกับปัญหาภาวะเงินเฟ้อสูง ภาครัฐอาจจะสามารถดำเนินการได้หลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางเศรษฐกิจและความเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นๆ ขณะที่แต่ละทางเลือกก็ล้วนมีข้อดีและข้อเสียโดยเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป การตัดสินใจใช้ทางเลือกใด ทางการจึงจะต้องชั่งน้ำหนักถึงผลกระทบโดยรวมที่มีต่อภาคส่วนต่างๆ ด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งทางเลือกด้านนโยบายเพื่อรับมือกับปัญหาภาวะราคาสินค้าแพง ได้แก่ การปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำและเงินเดือนข้าราชการ การควบคุมปริมาณการบริโภคพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมัน การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ตึงตัว
สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ จะอยู่ที่การปรับตัวของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะข้าว ซึ่งอาจผันผวนตามค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ หากเงินดอลลาร์สหรัฐฟื้นตัวขึ้นได้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาจมีการปรับฐานด้วยการทรงตัว หรือชะลอตัวลง เนื่องจากนักลงทุนอาจกลับเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐมากขึ้นอีกครั้ง ซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าว ย่อมเป็นผลดีต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศ แต่อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผู้ส่งออกสินค้าเกษตรที่คาดหวังจะเห็นราคาปรับตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2551 อาจมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 หรืออยู่ระหว่างกรอบร้อยละ 5.0-5.8 เพราะยังมีสินค้าอีกหลายรายการที่รอจ่อคิวขออนุมัติปรับขึ้นราคาในระยะข้างหน้า หลังจากน้ำตาลทรายได้ปรับขึ้นราคาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในหมวดอาหาร ค่าโดยสารต่างๆ และก๊าซหุงต้มในภาค ขนส่ง
