xs
xsm
sm
md
lg

จับตาประชุมกนง.ครั้งหน้า คาดยื้อขึ้นดบ.-หวั่นศก.ฟุบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินทิศทางธปท.หลังปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ในการประชุมครั้งนี้ คาดใช้นโยบายเข้มงวดด้วยความระมัดระวังมากขึ้น จากเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังมีความเสี่ยงหลายด้าน ทั้งจากในและนอกประเทศ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ที่มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 3.25 ขึ้นสู่ระดับร้อยละ 3.50 นั้นเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี

โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของกนง.ในครั้งนี้ ได้มีแถลงการณ์หลังการประชุมกนง.ซึ่งได้ชี้แจงถึงเหตุผลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยว่า ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของเอกชนและทำให้การดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจทำได้ยากขึ้นในระยะต่อไป และมีผลกระทบต่อศักยภาพการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว”

พร้อมกันนี้กนง.ได้ระบุว่า “คณะกรรมการฯจะติดตามแนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมหากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อยังคงสูงต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ กนง.ได้ชี้แจงว่า แม้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับขึ้นในการประชุมครั้งนี้ แต่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงขณะนี้ติดลบอยู่ถึงร้อยละ 6.6 เทียบกับที่ติดลบประมาณร้อยละ 4.6 ในเดือนพฤษภาคม และเมื่อมองในระยะถัดไปจะเห็นว่า แรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มขยับเพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ในขณะที่ไทยยังคงต้องพึ่งพาการส่งออก ดังนั้น การดูแลรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อจึงมีความจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อความสามารถทางการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม กนง.ระบุเพิ่มเติมว่า มาตรการบรรเทาค่าครองชีพจะสามารถบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อได้ในระยะสั้น

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักลงทุนและตลาดการเงิน ในขณะที่ ธปท.เองก็ได้ส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะดำเนินการคุมเข้มทางการเงินอีกหากเงินเฟ้อยังคงเร่งตัวขึ้น แม้ว่าความเสี่ยงด้านต่างประเทศจะยังคงมีอยู่ต่อไปในช่วงที่เหลือของปี โดยเฉพาะจากปัญหาเศรษฐกิจและสถาบันการเงินของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในระยะถัดไป ธปท.มีแนวโน้มที่จะใช้ความระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังคงเผชิญกับความเสี่ยงอีกหลายด้าน ทั้งจากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนภายในประเทศที่ยังคงเปราะบาง และจากภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ในขณะที่มาตรการลดภาษีสรรพสามิตแก่น้ำมันดีเซลและแก๊สโซฮอล์ ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ก็น่าที่จะช่วยบรรเทาแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้โดยรวมแล้วคาดว่า ธปท.อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกไม่มากนักหลังจากที่ได้ทำการปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ไปแล้วในครั้งนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น