ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินมติเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2 เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด ส่งผลให้ค่าเงินดอลล์ร่วง สะท้อนการมีมุมมองในเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงกว่าเดิม ก่อนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายนนี้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดรายงานเผยแพร่ถึงภาพรวมตลาดเงินภายหลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ณ วันที่ 24-25 มิถุนายน 2551 ได้มีการลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 2.00 ตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด
โดยจากมติการคงดอกเบี้ยในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกหลังจากที่เฟดได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 ซึ่งในการลงมติในครั้งนี้มีเพียงนาย Richard Fisher ประธานเฟดสาขาดัลลัส ที่ลงมติคัดค้านการคงอัตราดอกเบี้ย เพราะมีความเห็นว่า ควรมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ อย่างไรก็ตามการตอบรับของตลาดการเงินหลังการประชุมเฟด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร อีกทั้งยังปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ยังมีโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ และยังคงมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่จากการคาดการณ์ดังกล่าวนี้ ได้มีความสอดคล้องกับการปรับตัวของตลาดสัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า (Interest Rate Futures) โดยสัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าล่าสุด ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2551 ซึ่งบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้เพียงร้อยละ 33 เท่านั้น ที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบถัดไปในเดือนสิงหาคม ซึ่งลดลงจากร้อยละ 48 ก่อนการประชุมเฟด
อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวรับการคาดการณ์เกือบเต็มที่ว่า เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะทำการคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 2.00 ตลอดทั้งปี 2551 นี้ และยังได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 8 เทียบกับที่มีโอกาสไม่ถึงร้อยละ 1 ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนหน้า
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินว่า สิ่งที่ชัดเจนที่สุดจากแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดในครั้งนี้ คือ เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ถูกปรับลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมกับเทน้ำหนักไปในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยเฟดได้ระบุในแถลงการณ์ว่า ความเสี่ยงในช่วงขาขึ้นของเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เฟดได้คาดการณ์ว่า ความเสี่ยงดังกล่าวจะค่อย ๆ ปรับตัวลงในระยะถัดไป ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้ตีความว่า เฟดมีมุมมองในเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงกว่าเดิม
นอกจากนี้ เฟดอยู่ในช่วงที่กำลังพิจารณาจังหวะของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่า หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เฟดก็คงจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ส่วนตลาดล่วงหน้าได้ประเมินว่า จังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะเป็นการประชุมในเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต้องเลื่อนออกไป ยังคงเป็นเรื่องของปัญหาในภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ และความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงาน และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ล้วนยังคงมีความเปราะบางอยู่มาก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดรายงานเผยแพร่ถึงภาพรวมตลาดเงินภายหลังการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือเฟด ณ วันที่ 24-25 มิถุนายน 2551 ได้มีการลงมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ไว้ที่ร้อยละ 2.00 ตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด
โดยจากมติการคงดอกเบี้ยในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งแรกหลังจากที่เฟดได้ทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 ซึ่งในการลงมติในครั้งนี้มีเพียงนาย Richard Fisher ประธานเฟดสาขาดัลลัส ที่ลงมติคัดค้านการคงอัตราดอกเบี้ย เพราะมีความเห็นว่า ควรมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ อย่างไรก็ตามการตอบรับของตลาดการเงินหลังการประชุมเฟด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร อีกทั้งยังปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ
ขณะที่ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ยังมีโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ และยังคงมีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่จากการคาดการณ์ดังกล่าวนี้ ได้มีความสอดคล้องกับการปรับตัวของตลาดสัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้า (Interest Rate Futures) โดยสัญญาอัตราดอกเบี้ยล่วงหน้าล่าสุด ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2551 ซึ่งบ่งชี้ว่า มีความเป็นไปได้เพียงร้อยละ 33 เท่านั้น ที่เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบถัดไปในเดือนสิงหาคม ซึ่งลดลงจากร้อยละ 48 ก่อนการประชุมเฟด
อย่างไรก็ตาม ตลาดปรับตัวรับการคาดการณ์เกือบเต็มที่ว่า เฟดจะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เฟดจะทำการคงอัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 2.00 ตลอดทั้งปี 2551 นี้ และยังได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ร้อยละ 8 เทียบกับที่มีโอกาสไม่ถึงร้อยละ 1 ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนหน้า
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินว่า สิ่งที่ชัดเจนที่สุดจากแถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดในครั้งนี้ คือ เฟดได้ส่งสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ถูกปรับลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว พร้อมกับเทน้ำหนักไปในเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินมากขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยเฟดได้ระบุในแถลงการณ์ว่า ความเสี่ยงในช่วงขาขึ้นของเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าความเสี่ยงในช่วงขาลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เฟดได้คาดการณ์ว่า ความเสี่ยงดังกล่าวจะค่อย ๆ ปรับตัวลงในระยะถัดไป ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวทำให้ตีความว่า เฟดมีมุมมองในเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงกว่าเดิม
นอกจากนี้ เฟดอยู่ในช่วงที่กำลังพิจารณาจังหวะของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่า หากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น เฟดก็คงจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ส่วนตลาดล่วงหน้าได้ประเมินว่า จังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจจะเป็นการประชุมในเดือนกันยายนนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่อาจทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต้องเลื่อนออกไป ยังคงเป็นเรื่องของปัญหาในภาคสถาบันการเงินสหรัฐฯ และความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะตัวเลขการว่างงาน และตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ล้วนยังคงมีความเปราะบางอยู่มาก