คอลัมน์คุยกับผู้จัดการกองทุน
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
ท่านผู้อ่านคงยังไม่เบื่อที่จะติดตามนิทานเรื่องราชสีห์กับหนูไปตลอดปีชวดนี้นะครับ โดยจะพยายามสอดแทรกความรู้ที่เกี่ยวกับการลงทุนและความเสี่ยงให้ทราบเป็นระยะๆ ล่าสุด ”หนู” ก็เสียท่าไปเหมือนกัน เมื่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยบ้านเราเริ่มไม่อิงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และการประชุมของFOMC ในสัปดาห์นี้มีการคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย FED Fund ลงอีกเพียง 0.25% จากเดิมที่เคยประเมินกันว่าจะลดลง 0.50% รวมทั้งทีท่าว่าจะเป็นการลดครั้งสุดท้าย เนื่องจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆทั่วโลกขยับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่เกือบทุกสัปดาห์
อย่างไรก็ตามพอร์ตของตราสารหนี้ หรือ “หนู” ที่มีอยู่ ด้วยระดับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีที่ขยับตัวขึ้นมาอยู่สูงกว่า 4% จนทำให้เกิดการขาดทุนจากการตีราคา (mark to market) ในช่วงที่ผ่านมาตามตารางแสดงผลตอบแทนถึง 1.81% แต่ก็ยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ หรือให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real rate of return) เป็นบวก การปรับพอร์ตครั้งนี้จึงยังคงรักษาน้ำหนักไว้ที่ 25% เช่นเดิม แต่ขอปรับลดน้ำหนักของพันธบัตรอายุ 1 ปีแทนจาก 25% เหลือ 15%
โดยน้ำหนัก 10% ที่ลดลงดังกล่าวขอไปลงทุนเพิ่มในตราสารทุน หรือ “ราชสีห์” รวมเป็น 35% เนื่องจากดัชนี SET ได้ลดลงมาจากระดับ 850 อยู่ที่ 832.19 เมื่อวันศุกร์ที่ 25 เม.ย. 51 ใกล้แนวรับเพื่อปิดช่องว่างของดัชนี (gap) จึงมีโอกาสที่จะขยับตัวเพื่อขึ้นต่อได้ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้เป้าหมายของดัชนี SET ยังอยู่ที่ประมาณ 900 จุดภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน
ผลตอบแทนในช่วงที่ 6 นี้นับว่าราชสีห์ได้ออกมาจากถ้ำเพื่อช่วยหนูไว้ได้ทันท่วงที โดยเมื่อรวมกับดอกเบี้ยจากกองทุนรวมและเงินฝากออมทรัพย์ในส่วนที่มีไว้เพื่อเป็นสภาพคล่อง ได้เท่ากับ 2.12% หักส่วนที่ขาดทุนจากตราสารหนี้ทั้งสองรวม 1.87% คงเหลือประมาณ 0.06% (มีการปัดเศษของทศนิยมการคำนวณ) ยังเป็นบวกอยู่ หัวใจที่สำคัญของการจัดสัดส่วนในการลงทุน (Asset Allocation) ก็เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังและมีค่าเป็นบวกไม่ขาดทุนเลยตลอดช่วงการลงทุน สำหรับผลตอบแทนสะสมขณะนี้ได้อยู่ที่ 5.01%
หลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตโฟลิโอนี้ ถือว่าเป็นหลักทรัพย์พื้นฐานหรือเบื้องต้น (Basic Products) สำหรับผู้ลงทุน แต่เมื่อได้ศึกษาข้อมูลในการลงทุนเพิ่มเติมจะพบว่า มีหลักทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ขอเรียกว่า หลักทรัพย์ขั้นสูง (Advanced Products) ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ตราสารอนุพันธ์” (Derivatives) ขอให้ผู้อ่านติดตามรายละเอียดได้ในสัปดาห์หน้านะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500
ท่านผู้อ่านคงยังไม่เบื่อที่จะติดตามนิทานเรื่องราชสีห์กับหนูไปตลอดปีชวดนี้นะครับ โดยจะพยายามสอดแทรกความรู้ที่เกี่ยวกับการลงทุนและความเสี่ยงให้ทราบเป็นระยะๆ ล่าสุด ”หนู” ก็เสียท่าไปเหมือนกัน เมื่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยบ้านเราเริ่มไม่อิงกับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ และการประชุมของFOMC ในสัปดาห์นี้มีการคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ย FED Fund ลงอีกเพียง 0.25% จากเดิมที่เคยประเมินกันว่าจะลดลง 0.50% รวมทั้งทีท่าว่าจะเป็นการลดครั้งสุดท้าย เนื่องจากตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของประเทศต่างๆทั่วโลกขยับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่ทำสถิติราคาสูงสุดใหม่เกือบทุกสัปดาห์
อย่างไรก็ตามพอร์ตของตราสารหนี้ หรือ “หนู” ที่มีอยู่ ด้วยระดับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีที่ขยับตัวขึ้นมาอยู่สูงกว่า 4% จนทำให้เกิดการขาดทุนจากการตีราคา (mark to market) ในช่วงที่ผ่านมาตามตารางแสดงผลตอบแทนถึง 1.81% แต่ก็ยังให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ หรือให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real rate of return) เป็นบวก การปรับพอร์ตครั้งนี้จึงยังคงรักษาน้ำหนักไว้ที่ 25% เช่นเดิม แต่ขอปรับลดน้ำหนักของพันธบัตรอายุ 1 ปีแทนจาก 25% เหลือ 15%
โดยน้ำหนัก 10% ที่ลดลงดังกล่าวขอไปลงทุนเพิ่มในตราสารทุน หรือ “ราชสีห์” รวมเป็น 35% เนื่องจากดัชนี SET ได้ลดลงมาจากระดับ 850 อยู่ที่ 832.19 เมื่อวันศุกร์ที่ 25 เม.ย. 51 ใกล้แนวรับเพื่อปิดช่องว่างของดัชนี (gap) จึงมีโอกาสที่จะขยับตัวเพื่อขึ้นต่อได้ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้เป้าหมายของดัชนี SET ยังอยู่ที่ประมาณ 900 จุดภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 เดือน
ผลตอบแทนในช่วงที่ 6 นี้นับว่าราชสีห์ได้ออกมาจากถ้ำเพื่อช่วยหนูไว้ได้ทันท่วงที โดยเมื่อรวมกับดอกเบี้ยจากกองทุนรวมและเงินฝากออมทรัพย์ในส่วนที่มีไว้เพื่อเป็นสภาพคล่อง ได้เท่ากับ 2.12% หักส่วนที่ขาดทุนจากตราสารหนี้ทั้งสองรวม 1.87% คงเหลือประมาณ 0.06% (มีการปัดเศษของทศนิยมการคำนวณ) ยังเป็นบวกอยู่ หัวใจที่สำคัญของการจัดสัดส่วนในการลงทุน (Asset Allocation) ก็เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังและมีค่าเป็นบวกไม่ขาดทุนเลยตลอดช่วงการลงทุน สำหรับผลตอบแทนสะสมขณะนี้ได้อยู่ที่ 5.01%
หลักทรัพย์ที่มีอยู่ในพอร์ตโฟลิโอนี้ ถือว่าเป็นหลักทรัพย์พื้นฐานหรือเบื้องต้น (Basic Products) สำหรับผู้ลงทุน แต่เมื่อได้ศึกษาข้อมูลในการลงทุนเพิ่มเติมจะพบว่า มีหลักทรัพย์อีกกลุ่มหนึ่งที่ขอเรียกว่า หลักทรัพย์ขั้นสูง (Advanced Products) ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ตราสารอนุพันธ์” (Derivatives) ขอให้ผู้อ่านติดตามรายละเอียดได้ในสัปดาห์หน้านะครับ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต