xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลา “หนู” ทำกำไร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บีที จำกัด
0-2686-9500


ตามที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วว่า ปีนี้สิ่งที่ยากที่สุดคือ การจัดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ของพอร์ตโฟลิโอ ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดที่จะมีการผันผวนมากกว่า เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดัชนี SET ได้ปรับตัวลงไปจนต่ำกว่าระดับ 750 จุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้วในวันที่ 22 ม.ค. 51 หลังจากที่ทราบข่าวว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (Fed Fund Rate) ลงอีก 0.75% เป็น 3.50% รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Discount Rate) ลงอีก 0.75% เช่นกัน เป็น 4.00% ในการเรียกประชุมฉุกเฉิน

มีผลทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรทั่วโลก ต่างปรับลดกันลงมาด้วย รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาลของไทยเรา อัตราผลตอบแทนสำหรับพันธบัตรอายุ 5 ปี ลดลงจาก 4.09% ในวันที่ 21 ม.ค. 51 มาอยู่ที่ระดับ 3.73% ในวันที่ 25 ม.ค. 51 ส่วนพันธบัตรอายุ 1 ปี ก็ลดลงเช่นกัน จากระดับ 3.32% ลดลงมาอยู่ที่ 3.09% รวมทั้งในสัปดาห์นี้ FED จะมีการประชุมปกติตามตารางที่กำหนดไว้ในวันที่ 29 – 30 ม.ค. 51 (1 ปี FED จะมีการประชุมประมาณ 8 ครั้งเพื่อพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ย โดยแต่ละครั้งจะห่างกันประมาณ 6 – 8 สัปดาห์) และตลาดการเงินต่างก็คาดการณ์กันไว้ว่า FED จะยังลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession)

สำหรับพอร์ตโฟลิโอ ขอถือโอกาสทำกำไรในพันธบัตรอายุ 5 ปีในสัปดาห์นี้ เพราะอัตราผลตอบแทนได้ลดลงมาจากวันที่เริ่มลงทุนในปลายปีที่แล้ว หรือราคาสูงขึ้นโดยรับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งไม่ต้องการที่จะถือพันธบัตรอายุ 5 ปีเพื่อไปรอการประชุมครั้งถัดไปของ FED ในวันที่ 18 มี.ค. 51 แม้ว่าจะเป็นที่คาดการณ์กันต่อว่าอัตราดอกเบี้ยคงต้องลดลงไปอีกก็ตาม เพราะคาดว่าน่าจะมีการทำกำไรในตลาดพันธบัตรออกมาในสัปดาห์นี้ รวมทั้งโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นเริ่มน่าสนใจเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยงที่เป็นอยู่

โดยจะขอนำสัดส่วนการลงทุนของพันธบัตรอายุ 5 ปีที่มีอยู่ 20% ไปลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 10% จากสัปดาห์ที่แล้วที่มีอยู่ 35% รวมเป็น 45% และอีก 10% ที่เหลือไปพักไว้ในส่วนที่เป็นสภาพคล่องหรือเงินฝากออมทรัพย์จากเดิมที่มีอยู่ 20% เพิ่มเป็น 30% เพื่อรอจังหวะ (Market Timing) ในการเข้าลงทุนเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นในกรณีที่ดัชนี SET ลดลงต่ำกว่า 700 จุด (โอกาสยังมีอยู่) หรือจะเป็นตลาดพันธบัตรในกรณีที่อัตราผลตอบแทนกลับขยับตัวสูงขึ้นจากการขายทำกำไร (โอกาสก็ยังมีอยู่เช่นกัน )

สรุปได้ว่า พอร์ตโฟลิโอ ณ สิ้นเดือนม.ค. 51 น่าจะคงเหลือสินทรัพย์ที่ลงทุนเพียง 3 ประเภท คือ ในกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ เซ็ท 50 อีทีเอฟ (TDEX) สำหรับการลงทุนในตราสารทุน 45% ในดัชนี ZRR 1 ปี สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ 25% และ อีก 30% พักไว้เพื่อรอการลงทุนต่อไป

*“หนู” ก็ช่วยให้ “ราชสีห์” พ้นออกมาจากบ่วงได้แล้ว ต่อไปนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าราชสีห์เองจะสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนอย่างที่ตั้งใจไว้ได้มากน้อยแค่ไหน โปรดติดตามนิทานเรื่องนี้ได้ตลอดปีชวด 2008 ”หนูดิน” นี้นะครับ รวมทั้งอย่าลืมฉวยโอกาสหาจังหวะในการเข้าลงทุนในกองทุนรวม RMF หุ้น และ LTF เมื่อตลาดหุ้นเกิดผันผวน เพราะอย่างไรเสียโอกาสที่ตลาดจะลดลงอย่างต่อเนื่องไปอีก 4 หรือ 5 ปีคงมีน้อยเต็มทีนะครับ

“การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน”

“ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต”

กำลังโหลดความคิดเห็น