ผู้จัดการรายวัน - ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป จากแรงกดดันของต้นทุนผู้ผลิตที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชี้เงินเฟ้อเป็นตัวเลขสองหลักในเดือนสิงหาคมนี้ เป็นช่วงที่เงินเฟ้อขึ้นไปสูงสุด ส่วนทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 7.4-8.0%
จากรายงานตัวเลขดัชนีราคาสินค้า ในเดือนมิถุนายน 2551 โดยกระทรวงพาณิชย์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 7.6 ในเดือนพฤษภาคม สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ (ค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 8.5) และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่เทียบกับเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของเดือนมิถุนายนสูงขึ้นมาที่ร้อยละ 3.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2542 และเป็นครั้งแรกที่เงินเฟ้อพื้นฐานสูงเกินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) หลังจากที่ธปท. กำหนดกรอบดังกล่าวในปี 2543 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะขึ้นไปเกินร้อยละ 4.0 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงปลายปีอาจเคลื่อนเข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.0 ซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีนัยอย่างยิ่งต่อการพิจารณากำหนดนโยบายการเงิน ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ และในครั้งต่อๆ ไป
ในด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 15.6 ในเดือนพฤษภาคม และสูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน ขณะที่หากมองไปข้างหน้า ราคาสินค้าวัตถุดิบยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาพลังงาน ซึ่งนอกเหนือจากที่มีการคาดหมายว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปถึงระดับ 150-170 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ราคาก๊าซในประเทศก็อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระการอุดหนุนของทางการ รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท ก็ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เช่น เหล็กและยางพารา ทำให้คาดว่าดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนกรกฎาคม จะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 และอาจกล่าวได้ว่าต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 หรือเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 2
แรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ประกอบการดังกล่าว เป็นสัญญาณว่าราคาสินค้าผู้บริโภคอาจจะมีการทยอยปรับเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงเกินร้อยละ 9 ในเดือนกรกฎาคม และอาจขึ้นไปเป็นตัวเลขสองหลักในเดือนสิงหาคม ซึ่งน่าเป็นช่วงที่เงินเฟ้อขึ้นไปสูงสุด แต่อาจจะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 9 ไปจนถึงเดือนตุลาคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของปี 2551 อาจอยู่ที่ร้อยละ 7.4-8.0
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป จากแรงกดดันของต้นทุนผู้ผลิตที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่สะท้อนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งตัวมากกว่าอัตราเงินเฟ้อมาโดยตลอดระยะ 10 เดือนที่ผ่านมา และเป็นที่สังเกตว่าช่วงห่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของผู้ประกอบการกับอัตราเงินเฟ้อยิ่งกว้างมากขึ้น (อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนมิถุนายน ห่างกันถึงเกือบร้อยละ 10) เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ประกอบการได้แบกรับภาระต้นทุนไว้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ต้นทุนที่ผู้ประกอบการแบกรับไว้ดังกล่าวก็จะต้องถูกส่งผ่านไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าผู้บริโภคในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป ขณะเดียวกัน แนวโน้มการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะมีนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ในช่วงที่จะถึงนี้.
จากรายงานตัวเลขดัชนีราคาสินค้า ในเดือนมิถุนายน 2551 โดยกระทรวงพาณิชย์ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 7.6 ในเดือนพฤษภาคม สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ (ค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 8.5) และเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่เทียบกับเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของเดือนมิถุนายนสูงขึ้นมาที่ร้อยละ 3.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2542 และเป็นครั้งแรกที่เงินเฟ้อพื้นฐานสูงเกินกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ที่ร้อยละ 0.0-3.5) หลังจากที่ธปท. กำหนดกรอบดังกล่าวในปี 2543 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า มีแนวโน้มที่เงินเฟ้อพื้นฐานจะขึ้นไปเกินร้อยละ 4.0 ในเดือนสิงหาคม และในช่วงปลายปีอาจเคลื่อนเข้าหาระดับร้อยละ 4.5-5.0 ซึ่งจะเป็นประเด็นที่มีนัยอย่างยิ่งต่อการพิจารณากำหนดนโยบายการเงิน ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ และในครั้งต่อๆ ไป
ในด้านต้นทุนของผู้ประกอบการ ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ 15.6 ในเดือนพฤษภาคม และสูงสุดในรอบ 10 ปีเช่นเดียวกัน ขณะที่หากมองไปข้างหน้า ราคาสินค้าวัตถุดิบยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาพลังงาน ซึ่งนอกเหนือจากที่มีการคาดหมายว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นไปถึงระดับ 150-170 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ในช่วงฤดูร้อนของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ราคาก๊าซในประเทศก็อาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระการอุดหนุนของทางการ รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภท ก็ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เช่น เหล็กและยางพารา ทำให้คาดว่าดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนกรกฎาคม จะเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 20 และอาจกล่าวได้ว่าต้นทุนของภาคอุตสาหกรรมอาจเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 หรือเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 2
แรงกดดันด้านต้นทุนของผู้ประกอบการดังกล่าว เป็นสัญญาณว่าราคาสินค้าผู้บริโภคอาจจะมีการทยอยปรับเพิ่มขึ้นอีก ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงเกินร้อยละ 9 ในเดือนกรกฎาคม และอาจขึ้นไปเป็นตัวเลขสองหลักในเดือนสิงหาคม ซึ่งน่าเป็นช่วงที่เงินเฟ้อขึ้นไปสูงสุด แต่อาจจะยังคงอยู่เหนือระดับร้อยละ 9 ไปจนถึงเดือนตุลาคม ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยของปี 2551 อาจอยู่ที่ร้อยละ 7.4-8.0
โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าแนวโน้มเงินเฟ้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อไป จากแรงกดดันของต้นทุนผู้ผลิตที่เร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังที่สะท้อนจากตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร่งตัวมากกว่าอัตราเงินเฟ้อมาโดยตลอดระยะ 10 เดือนที่ผ่านมา และเป็นที่สังเกตว่าช่วงห่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของผู้ประกอบการกับอัตราเงินเฟ้อยิ่งกว้างมากขึ้น (อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิตในเดือนมิถุนายน ห่างกันถึงเกือบร้อยละ 10) เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ประกอบการได้แบกรับภาระต้นทุนไว้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ต้นทุนที่ผู้ประกอบการแบกรับไว้ดังกล่าวก็จะต้องถูกส่งผ่านไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าผู้บริโภคในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้ประกอบการไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป ขณะเดียวกัน แนวโน้มการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานน่าจะมีนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ในช่วงที่จะถึงนี้.