xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯ ชี้จุดเสี่ยงเงินเฟ้อปะทุ คาดจีดีพี Q2 วูบเหลือ 5%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ประเมินจีดีพี Q1/51 โตได้ 6% โดยมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาคเอกชน ส่วนแนวโน้ม Q2/51 อาจชะลอตัวเหลือ 5% โดยมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน และราคาสินค้า ระบุ การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด ไม่ได้แก้ปัญหาเงินเฟ้อที่มีสาเหตุจาก “อุปทาน” แต่เป็นแค่การประคองสถานการณ์ ก่อนเชื้อร้ายจากต้นทุนผลักจะปะทุอย่างรุนแรงช่วงปลายปี และนำไปสู่จุดเสี่ยงที่หนทางแก้ปัญหายิ่งจะยากลำบากมากขึ้น

วันนี้ (23 พ.ค.) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยรายงานคาดการณ์อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในไตรมาส 1/51 จีดีพีจะขยายตัวได้ถึง 6.0% เทียบจากอัตรา 5.7% ในไตรมาส 4/50 โดยเป็นผลจากการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่มีแรงหนุนจากความชัดเจนทางการเมืองในประเทศ หลังจัดตั้งรัฐบาลและการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ

ทั้งนี้ คาดว่า การบริโภคของภาคเอกชนอาจขยายตัว 5.6% และการลงทุนอาจขยายตัว 8.0% ขณะที่ภาคการเกษตรยังได้รับแรงหนุนจากราคาสินค้าเกษตรที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการนำเข้าเร่งตัวขึ้นมากตามภาวะการใช้จ่ายของภาคเอกชนและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่ไตรมาส 1/51 การส่งออกอาจชะลอตัวลงเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ดุลการค้าของไทยจะขาดดุลในไตรมาสแรก แต่ฐานะดุลบริการที่เข้มแข็งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวช่วยให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุล

สำหรับแนวโน้ม จีดีพีในไตรมาส 2/51 คาดจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอาจขยายตัวใกล้เคียง 5.0% จากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก และราคาสินค้าอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ระบุอีกว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสถัดไปยังมีแนวโน้มชะลอตัวลง เป็นผลมาจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่คาดว่าจะยังคงมีระดับสูงไปอย่างน้อยจนถึงสิ้นไตรมาส 3 แต่เศรษฐกิจภายในประเทศ ยังมีปัจจัยบวกจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลดีต่อรายได้เกษตรกร และภาคเศรษฐกิจเกี่ยวเนื่องอันเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวประมาณ 4.9%

“เศรษฐกิจไทยในระยะเวลาที่เหลือมีประเด็นสำคัญต้องติดตาม คือ ทิศทางราคาน้ำมัน ปัญหาการเมืองภายในประเทศ และแนวโน้มเศรษฐกิจภูมิภาคหลักของโลก โดยด้านสถานการณ์ทางการเมืองนั้น การพิจารณาตัดสินกรณียุบพรรคการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจมีผลถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งอาจจะกระทบต่อความคืบหน้าของการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ”

การใช้นโยบายการเงินแบบเข้มงวด อาจจะไม่ได้แก้ปัญหาเงินเฟ้อที่มีสาเหตุมาจากด้านอุปทาน (Cost-Push Inflation) ที่ต้นเหตุได้โดยตรง แต่อาจเป็นแนวทางที่ถือได้ว่าเป็นการดูแลเสถียรภาพราคาในระยะถัดไป เพื่อสกัดกั้นโอกาสที่สถานการณ์เงินเฟ้อจะยิ่งเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก อันจะนำไปสู่จุดเสี่ยงที่หนทางแก้ปัญหายิ่งจะยากลำบากมากขึ้น

ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคบริโภคยังปรับตัวสูงขึ้นต่อ รัฐบาลอาจต้องหาแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งการปรับขึ้นค่าจ้างเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ก็อาจกระตุ้นเงินเฟ้อให้สูงขึ้นอีก ดังนั้นในภาวะน้ำมันแพงเช่นนี้มาตรการที่สำคัญที่สุดคือการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนช่วยกันประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง และการเร่งปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมัน
กำลังโหลดความคิดเห็น