ASTVผู้จัดการรายวัน – “มาร์ค” มอบ“กรณ์” หารือตั้งกรรมการกลางจับตาใช้งบฯ ไทยเข้มแข็ง สั่งทุกกระทรวงรายงาน ครม.ทุกสัปดาห์ ส่วนผลสอบ สธ.สาวไม่ถึงบิ๊ก! ได้แค่ ผอ.สำนัก-ขรก.เกษียณเอี่ยว “สอดไส้ครุภัณฑ์เกินจำเป็น-ไม่ขอแต่จัดให้-ก่อสร้างราคาสูง” ตั้งกรรมการสอบเชิงลึกเพิ่ม “หมอเสรี” ชี้หลักฐานชัด รับไม่มีอำนาจสอบนักการเมือง-ข้าราชการเกษียณ ด้านแพทย์ชนบทผิดหวังคณะกรรมการฯ ไม่กล้าเปิดชื่อคนเอี่ยวโกง เสนอ "หมอบรรลุ ศิริพานิช"เป็นคณะกรรมการคนนอก สอบเอาผิดตัวการใหญ่ “วิทยา”ลั่นไม่เคยสั่งตัดตอน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุม ครม.วานนี้(13 ต.ค.)ว่า ที่ประชุม ครม.มีเรื่องแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งโดยกระทรวงการคลังเสนอกรอบคณะกรรมการกลั่นกรอง เพื่อให้ ครม.อนุมัติ 1แสนห้าหมื่นล้านบาท โครงการเพิ่มเติมหลังจากกระทรวงการคลัง ซึ่งจะเข้าที่ประชุมสัปดาห์หน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้มีการรายงานการดำเนินงานโครงการไทยเข้มแข็งของทุกกระทรวงต่อที่ประชุม ครม.ทุกสัปดาห์ และฝากให้ รมต.ปรึกษาคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามการใช้เงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ว่ามีการนำเสนอข่าว หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์การทุจริต คอรัปชั่นมาก ซึ่งมีความจำเป็นต้องชี้แจง ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ขอย้ำว่าตนเองและรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษและจะดูแลไม่ให้การใช้จ่ายผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐบาล เอาเงินก้อนนี้มาเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง
ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม.วันนี้ นายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้นายกรณ์ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวคิดการตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง ที่จะเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณในสัปดาห์หน้า เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีการลงทุนใหญ่เท่ากับโครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาลชุดนี้ อีกทั้งที่มีข่าวความไม่โปร่งใสในโครงการเป็นจำนวนมาส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเกรงว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้นทั้งปัจจุบันมีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินการของโครงการไทยเข้มแข็งที่มีนายพนัส สิมะเสถียร เป็นประธานคณะกรรมการเท่านั้น
**ผลสอบชี้จัดครุภัณฑ์ไม่เหมาะสม
เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 13 ตุลาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการ สธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ตามที่มีการร้องเรียน นพ.ชูวิทย์ ลิขิตยิ่งวรา ผู้ตรวจราชการ สธ.นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย สาธารณสุขนิเทศก์ นพ.คำรณ ไชยศิริ ผอ.โครงการไทยเข้มแข็ง และ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษก สธ. ร่วมกันแถลงข่าวผลการตรวจสอบเบื้องต้นโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2(เอสพี2)หรือไทยเข้มแข็ง 2555
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ตามที่มีการร้องเรียนการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ 7 รายการ ได้แก่ 1.เครื่องช่วยหายใจ 2.เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิดหรือยูวี-แฟน 3.เครื่องดมยาสลบ 4.เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด หรือเซ็นทรัลมอนิเตอร์ 5.เครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือดหรือออโตเมด 6 เครื่องตรวจปริมาณเม็ดเลือด หรือ ซีบีซี ออโต เมด และ7.รถพยาบาล จากรายการครุภัณฑ์ทั้งหมด 7,400 รายการ มีการสรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีความบกพร่องและไม่เหมาะสมในการจัดสรรรายการครุภัณฑ์ใน 2.ประเด็นหลัก คือ 1.มีการจัดสรรครุภัณฑ์บางรายการไปให้กับสถานพยาบาลโดยที่ไม่มีการร้องขอจริง เช่น เครื่องยูวีแฟน มีการจัดสรรให้ไป 800 ตัว เครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือดและเครื่องตรวจปริมาณเม็ดเลือดรวม 40 ตัว ราคาเครื่องละ 3 ล้านบาท
2.มีการจัดสรรไม่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ของขนาดสถานพยาบาล ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น เช่น เครื่องดมยาสลบ เครื่องช่วยหายใจ และเครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ เนื่องจากบางครุภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องซื้อ เพราะการบริการคุ้มค่ากว่าการจัดซื้อและไม่ต้องใช้งบประมาณในการดูแลรักษาเครื่อง
**ขรก.ประจำ-เกษียณเอี่ยวโกง
“ในส่วนของสิ่งก่อสร้างที่มีการร้องเรียน โดยเฉพาะหอพักพยาบาล ขนาด 24 ห้อง ราคาตั้งงบประมาณ 9.7 ล้านบาท พบว่า มีการตั้งราคาสูงจริง จึงเสนอให้ทบทวนและหามาตรการในการคำนวณอย่างสมเหตุสมผล โดยอาจจะมีหน่วยงานภายนอก เช่น วิศวกรรมสถาน ในการคิดราคาตั้งงบประมาณร่วมกับกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)”นพ.ไพจิตร์กล่าว
นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ผลการสอบขณะนี้บอกได้แต่เพียงว่า มีข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ในระดับผู้อำนวยการสำนักมีส่วนเกี่ยวข้อง และได้อ้างว่ามีข้าราชการเกษียณเกี่ยวข้องเช่นกัน แต่ไม่สามารถระบุชื่อได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหาย มีการฟ้องร้องได้ เนื่องจากเป็นเพียงผลตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น ว่ามีผู้เกี่ยวข้องกี่คน และเกี่ยวข้องในประเด็นใด จะต้องสอบลงลึกในรายละเอียดต่อ ซึ่งผลการสอบอาจจะไม่มีความผิดก็ได้ หากมีการสอบสวนลงรายละเอียดเชิงลึก
**ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึก
นพ.ไพจิตร์ กล่าวด้วยว่า ความบกพร่องดังกล่าว อาจดำเนินการโดยเจตนาหรือความไม่รอบคอบหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงจำเป็นต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบต่อไป โดยในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเรียก นพ.เสรี และนายเรืองรัตน์ บัวสัมฤทธิ์ ผอ.กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรมมาหารือ เพื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึกถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่ามีผู้เกี่ยวข้องกี่คนและใครบ้าง โดยจะดำเนินการแต่งตั้งภายในวันที่ 16 ตุลาคมนี้
“ขณะนี้การตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องหลายคน แต่เพื่อให้ความเป็นธรรม ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและวินัย ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ยุติธรรม ปราศจากอคติ โดยจะให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องชี้แจงเหตุผล ก่อนที่คณะกรรมการจะสรุปความเห็น จึงจะเปิดเผยรายชื่อบุคคลเหล่านั้นได้ ยืนยันว่าจะดำเนินต่ออย่างโปร่งใส ขอให้ทุกคนสบายใจ เชื่อว่าการทำงานของคณะกรรมการสอบสวนจะใช้เวลาไม่ถึง 1-2 เดือนให้รวดเร็วที่สุด”นพ.ไพจิตร์กล่าว
**เผยคนการเมืองโทรสั่ง ผอ.
นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า ส่วนคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งดูภาพรวมรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างในส่วนของ สธ.ยังไม่มีรายการใดที่เป็นการก่อหนี้ผูกพัน ด้วยการเซ็นสัญญากับบริษัท อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบทางราชการเอื้อว่าหากยังไม่ได้รับการจัดสรรงบฯ สามารถยกเลิกการประกวดราคาดังกล่าวได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลัวมีความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจสอบว่านักการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติม และข้อมูลที่คณะกรรมการฯได้รับก็เป็นไปตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการบันทึกรายละเอียดการประชุมไว้เป็นหลักฐานว่ามีผู้เกี่ยวข้องโทรศัพท์ถึงผู้อำนวยการที่รับผิดชอบโครงการจริง ซึ่งหากมีนักการเมืองเกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งหมด
**เอาผิดนักการเมืองต้องแจ้ง ป.ป.ช.
นายเรืองรัตน์ กล่าวว่า ตามระเบียบราชการคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึก จะต้องเป็นข้าราชการใน สธ.เท่านั้น ส่วนบุคคลภายนอกไม่สามารถแต่งตั้งมาสอบสวนได้ และมีอำนาจในการเรียกข้าราชการที่ยังอยู่ในราชการสังกัด สธ.มาให้ข้อมูลเท่านั้น จะเรียกบุคคลภายนอกมาสอบถามข้อมูลได้ต่อเมื่อ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าคณะกรรมการสอบสวนจะเป็นระดับร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง และถ้าดำเนินการสอบสวนเสร็จ หากพบว่าบุคคลภายนอกมีส่วนเกี่ยวข้อง สธ.ไม่สามารถลงโทษได้ ถ้ามีการชี้มูลว่าเกี่ยวข้องกับคดีทางอาญาก็จะต้องแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)
ขณะที่ นพ.เสรี กล่าวว่า กรณีที่มีการระบุว่า ครุภัณฑ์บางรายการล็อกสเปกนั้น ในความเป็นจริงบางรายการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจหรือเซ็นทรัลมอนิเตอร์ ที่มีการระบุว่าสามารถนำมาเชื่อมต่อกับระบบเดิมของโรงพยาบาลได้ อาจแปลความหมายว่า เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตยี่ห้อเดิมได้ หรือครุภัณฑ์บางรายมีข้อความต่อท้ายซึ่งดูเหมือนเอื้อประโยชน์ให้บางบริษัทแต่เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วพบว่ามี 2-3 บริษัทที่สามารถจัดซื้อได้ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
**แพทย์ชนบทไม่พอใจผลสอบ
ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ตนยังไม่พอใจและรู้สึกผิดหวังกับผลการตรวจสอบของ สธ. ที่ไม่กล้าระบุตัวบุคคล ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง และนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในครั้งนี้ ทั้งที่การเปิดโปงการทุจริตครั้งนี้มีนักการเมืองเข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ลดทอนความสง่างามของคณะกรรมการชุดนี้ลงไปบ้าง ดังนั้น ขอเสนอให้การตรวจสอบหาผู้กระทำผิด มีการตั้งคนนอกเข้ามาตรวจสอบ โดยผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดขณะนี้ คือ นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และให้อำนาจ นพ.บรรลุ เป็นผู้เลือกคณะกรรมการชุดตรวจสอบด้วยตัวเอง และหากผลสอบ ของ นพ.บรรลุ ออกมา ไม่พบว่ามีนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง ตนจึงจะยอมรับผลการตรวจสอบได้
**"วิทยา"ลั่นไม่เคยสั่งตัดตอน
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้ว่าทางฝ่ายกฎหมายของ สธ.จะชี้แจงว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่กำลังจะตั้งขึ้นนั้นจะไม่มีอำนาจในการเชิญบุคคลภายนอกมาให้ข้อมูลที่ถูกพาดพิงถึง แต่เพื่อการความเป็นธรรมและเป็นการให้เกียรติ ก็จะให้ทางคณะกรรมการชุดดังกล่าวทำหนังสือเชิญบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ทั้งนี้ บุคคลภายนอกจะมาให้ข้อมูลหรือไม่ก็ได้
"ส่วนเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่สามารถให้บุคคลภายนอกมาดำเนินการได้นั้น ก็ต้องหารือในข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง การเสนอดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของชมรมแพทย์ชนบทที่อยากให้ นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัด สธ.ผู้ที่สังคมให้การเชื่อถือในสมัยตรวจสอบทุจริตยา 1,400 ล้านบาทมาตรวจสอบในครั้งนี้"นายวิทยากล่าว
ต่อข้อถามถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าผลการสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตัดตอนในส่วนของนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง นายวิทยา กล่าวว่า ตนเองไม่เคยสั่งให้มีการตัดตอนที่จะไม่ดำเนินการเอาผิดนักการเมืองแต่อย่างใด
**กมธ.วุฒิตั้งอนุฯ สอบทุจริต สธ.
ที่รัฐสภา การประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ที่มี น.พ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการ เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อครุภัณฑ์ตามโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.ซึ่งที่ประชุมมีมติตั้งอนุกรรมาธิการฯ ตรวจสอบงบโครงการไทยเข้มแข็งโดยมี น.พ.เจตต์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานกรรมาธิการฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ โดย น.พ.เจตน์ กล่าวว่า เบื้องต้นจะลงไปตรวจสอบงบฯ ของ สธ. ซึ่งจะตรวจสอบต่อยอดจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ที่มีการร้องเรียน 6 รายการ ของ สธ. รวมทั้งจะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ซึ่งเรื่องนี้หากพบว่ามีการทุจริตจะส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อไป
น.พ.เจตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่คณะกรรมการฯ พบว่าคนกระทำผิดส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและข้าราชที่เกษียนแล้ว แต่ไม่ปรากฏชื่อของนักการเมือง เรื่องนี้การที่จะสาวถึงนักการเมืองคงเป็นเรื่องยาก เพราะนักการเมืองสั่งการโดยปากเปล่า อย่างไรก็ตามหากมีพยานบุคคลยืนยันว่ามีนักการเมืองสั่งการเรื่องนี้ 2-3 คนขึ้นไป ก็ถือว่ามีเหตุอันควรได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
**ตั้ง ปธ.สอบ สธ.เป็นรองปลัดฯ
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนของ สธ. 8 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัดฯ เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายมานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นอธิบดีกรมควบคุมโรค นายนรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นอธิบดีกรมอนามัย นายเสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ นายทะนงสรรค์ สุธาธรรม ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ นายสถาพร วงษ์เจริญ ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ และนางวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ ผู้ตรวจราชการฯ เป็นอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุม ครม.วานนี้(13 ต.ค.)ว่า ที่ประชุม ครม.มีเรื่องแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งโดยกระทรวงการคลังเสนอกรอบคณะกรรมการกลั่นกรอง เพื่อให้ ครม.อนุมัติ 1แสนห้าหมื่นล้านบาท โครงการเพิ่มเติมหลังจากกระทรวงการคลัง ซึ่งจะเข้าที่ประชุมสัปดาห์หน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ได้สั่งการให้มีการรายงานการดำเนินงานโครงการไทยเข้มแข็งของทุกกระทรวงต่อที่ประชุม ครม.ทุกสัปดาห์ และฝากให้ รมต.ปรึกษาคณะกรรมการกลั่นกรองและติดตามการใช้เงินตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ว่ามีการนำเสนอข่าว หรือมีการวิพากษ์วิจารณ์การทุจริต คอรัปชั่นมาก ซึ่งมีความจำเป็นต้องชี้แจง ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ขอย้ำว่าตนเองและรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษและจะดูแลไม่ให้การใช้จ่ายผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐบาล เอาเงินก้อนนี้มาเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศอย่างแท้จริง
ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุม ครม.วันนี้ นายอภิสิทธิ์ มอบหมายให้นายกรณ์ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงแนวคิดการตั้งคณะกรรมการกลางเพื่อดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็ง ที่จะเริ่มมีการเบิกจ่ายงบประมาณในสัปดาห์หน้า เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีการลงทุนใหญ่เท่ากับโครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาลชุดนี้ อีกทั้งที่มีข่าวความไม่โปร่งใสในโครงการเป็นจำนวนมาส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเกรงว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้นทั้งปัจจุบันมีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินการของโครงการไทยเข้มแข็งที่มีนายพนัส สิมะเสถียร เป็นประธานคณะกรรมการเท่านั้น
**ผลสอบชี้จัดครุภัณฑ์ไม่เหมาะสม
เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 13 ตุลาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการ สธ.ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ตามที่มีการร้องเรียน นพ.ชูวิทย์ ลิขิตยิ่งวรา ผู้ตรวจราชการ สธ.นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย สาธารณสุขนิเทศก์ นพ.คำรณ ไชยศิริ ผอ.โครงการไทยเข้มแข็ง และ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษก สธ. ร่วมกันแถลงข่าวผลการตรวจสอบเบื้องต้นโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2(เอสพี2)หรือไทยเข้มแข็ง 2555
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ตามที่มีการร้องเรียนการจัดซื้อจัดจ้างครุภัณฑ์ 7 รายการ ได้แก่ 1.เครื่องช่วยหายใจ 2.เครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิดหรือยูวี-แฟน 3.เครื่องดมยาสลบ 4.เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนเลือด หรือเซ็นทรัลมอนิเตอร์ 5.เครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือดหรือออโตเมด 6 เครื่องตรวจปริมาณเม็ดเลือด หรือ ซีบีซี ออโต เมด และ7.รถพยาบาล จากรายการครุภัณฑ์ทั้งหมด 7,400 รายการ มีการสรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มีความบกพร่องและไม่เหมาะสมในการจัดสรรรายการครุภัณฑ์ใน 2.ประเด็นหลัก คือ 1.มีการจัดสรรครุภัณฑ์บางรายการไปให้กับสถานพยาบาลโดยที่ไม่มีการร้องขอจริง เช่น เครื่องยูวีแฟน มีการจัดสรรให้ไป 800 ตัว เครื่องตรวจสารชีวเคมีในเลือดและเครื่องตรวจปริมาณเม็ดเลือดรวม 40 ตัว ราคาเครื่องละ 3 ล้านบาท
2.มีการจัดสรรไม่เหมาะสมกับการใช้ประโยชน์ของขนาดสถานพยาบาล ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น เช่น เครื่องดมยาสลบ เครื่องช่วยหายใจ และเครื่องติดตามการทำงานของหัวใจ เนื่องจากบางครุภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องซื้อ เพราะการบริการคุ้มค่ากว่าการจัดซื้อและไม่ต้องใช้งบประมาณในการดูแลรักษาเครื่อง
**ขรก.ประจำ-เกษียณเอี่ยวโกง
“ในส่วนของสิ่งก่อสร้างที่มีการร้องเรียน โดยเฉพาะหอพักพยาบาล ขนาด 24 ห้อง ราคาตั้งงบประมาณ 9.7 ล้านบาท พบว่า มีการตั้งราคาสูงจริง จึงเสนอให้ทบทวนและหามาตรการในการคำนวณอย่างสมเหตุสมผล โดยอาจจะมีหน่วยงานภายนอก เช่น วิศวกรรมสถาน ในการคิดราคาตั้งงบประมาณร่วมกับกองแบบแผน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.)”นพ.ไพจิตร์กล่าว
นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ผลการสอบขณะนี้บอกได้แต่เพียงว่า มีข้าราชการที่ยังรับราชการอยู่ในระดับผู้อำนวยการสำนักมีส่วนเกี่ยวข้อง และได้อ้างว่ามีข้าราชการเกษียณเกี่ยวข้องเช่นกัน แต่ไม่สามารถระบุชื่อได้ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหาย มีการฟ้องร้องได้ เนื่องจากเป็นเพียงผลตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นเท่านั้น ว่ามีผู้เกี่ยวข้องกี่คน และเกี่ยวข้องในประเด็นใด จะต้องสอบลงลึกในรายละเอียดต่อ ซึ่งผลการสอบอาจจะไม่มีความผิดก็ได้ หากมีการสอบสวนลงรายละเอียดเชิงลึก
**ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึก
นพ.ไพจิตร์ กล่าวด้วยว่า ความบกพร่องดังกล่าว อาจดำเนินการโดยเจตนาหรือความไม่รอบคอบหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงจำเป็นต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบต่อไป โดยในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ จะเรียก นพ.เสรี และนายเรืองรัตน์ บัวสัมฤทธิ์ ผอ.กลุ่มเสริมสร้างวินัยและระบบคุณธรรมมาหารือ เพื่อพิจารณารายละเอียดข้อเท็จจริงทั้งหมดก่อนที่จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึกถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่ามีผู้เกี่ยวข้องกี่คนและใครบ้าง โดยจะดำเนินการแต่งตั้งภายในวันที่ 16 ตุลาคมนี้
“ขณะนี้การตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องหลายคน แต่เพื่อให้ความเป็นธรรม ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและวินัย ผมในฐานะผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ยุติธรรม ปราศจากอคติ โดยจะให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องชี้แจงเหตุผล ก่อนที่คณะกรรมการจะสรุปความเห็น จึงจะเปิดเผยรายชื่อบุคคลเหล่านั้นได้ ยืนยันว่าจะดำเนินต่ออย่างโปร่งใส ขอให้ทุกคนสบายใจ เชื่อว่าการทำงานของคณะกรรมการสอบสวนจะใช้เวลาไม่ถึง 1-2 เดือนให้รวดเร็วที่สุด”นพ.ไพจิตร์กล่าว
**เผยคนการเมืองโทรสั่ง ผอ.
นพ.ไพจิตร์ กล่าวอีกว่า ส่วนคณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งดูภาพรวมรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างในส่วนของ สธ.ยังไม่มีรายการใดที่เป็นการก่อหนี้ผูกพัน ด้วยการเซ็นสัญญากับบริษัท อย่างไรก็ตาม กฎระเบียบทางราชการเอื้อว่าหากยังไม่ได้รับการจัดสรรงบฯ สามารถยกเลิกการประกวดราคาดังกล่าวได้ตลอดเวลาและไม่ต้องกลัวมีความผิด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตรวจสอบว่านักการเมืองมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่หรือไม่ นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพิ่มเติม และข้อมูลที่คณะกรรมการฯได้รับก็เป็นไปตามข้อมูลที่มีการเปิดเผยต่อคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการบันทึกรายละเอียดการประชุมไว้เป็นหลักฐานว่ามีผู้เกี่ยวข้องโทรศัพท์ถึงผู้อำนวยการที่รับผิดชอบโครงการจริง ซึ่งหากมีนักการเมืองเกี่ยวข้อง จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งหมด
**เอาผิดนักการเมืองต้องแจ้ง ป.ป.ช.
นายเรืองรัตน์ กล่าวว่า ตามระเบียบราชการคณะกรรมการสอบสวนเชิงลึก จะต้องเป็นข้าราชการใน สธ.เท่านั้น ส่วนบุคคลภายนอกไม่สามารถแต่งตั้งมาสอบสวนได้ และมีอำนาจในการเรียกข้าราชการที่ยังอยู่ในราชการสังกัด สธ.มาให้ข้อมูลเท่านั้น จะเรียกบุคคลภายนอกมาสอบถามข้อมูลได้ต่อเมื่อ มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าคณะกรรมการสอบสวนจะเป็นระดับร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง และถ้าดำเนินการสอบสวนเสร็จ หากพบว่าบุคคลภายนอกมีส่วนเกี่ยวข้อง สธ.ไม่สามารถลงโทษได้ ถ้ามีการชี้มูลว่าเกี่ยวข้องกับคดีทางอาญาก็จะต้องแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)
ขณะที่ นพ.เสรี กล่าวว่า กรณีที่มีการระบุว่า ครุภัณฑ์บางรายการล็อกสเปกนั้น ในความเป็นจริงบางรายการมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เช่น เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจหรือเซ็นทรัลมอนิเตอร์ ที่มีการระบุว่าสามารถนำมาเชื่อมต่อกับระบบเดิมของโรงพยาบาลได้ อาจแปลความหมายว่า เอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตยี่ห้อเดิมได้ หรือครุภัณฑ์บางรายมีข้อความต่อท้ายซึ่งดูเหมือนเอื้อประโยชน์ให้บางบริษัทแต่เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้วพบว่ามี 2-3 บริษัทที่สามารถจัดซื้อได้ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบในเชิงลึกต่อไป
**แพทย์ชนบทไม่พอใจผลสอบ
ด้าน นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวว่า ตนยังไม่พอใจและรู้สึกผิดหวังกับผลการตรวจสอบของ สธ. ที่ไม่กล้าระบุตัวบุคคล ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง และนักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในครั้งนี้ ทั้งที่การเปิดโปงการทุจริตครั้งนี้มีนักการเมืองเข้ามาเป็นส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้ลดทอนความสง่างามของคณะกรรมการชุดนี้ลงไปบ้าง ดังนั้น ขอเสนอให้การตรวจสอบหาผู้กระทำผิด มีการตั้งคนนอกเข้ามาตรวจสอบ โดยผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุดขณะนี้ คือ นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และให้อำนาจ นพ.บรรลุ เป็นผู้เลือกคณะกรรมการชุดตรวจสอบด้วยตัวเอง และหากผลสอบ ของ นพ.บรรลุ ออกมา ไม่พบว่ามีนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง ตนจึงจะยอมรับผลการตรวจสอบได้
**"วิทยา"ลั่นไม่เคยสั่งตัดตอน
นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า แม้ว่าทางฝ่ายกฎหมายของ สธ.จะชี้แจงว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัยที่กำลังจะตั้งขึ้นนั้นจะไม่มีอำนาจในการเชิญบุคคลภายนอกมาให้ข้อมูลที่ถูกพาดพิงถึง แต่เพื่อการความเป็นธรรมและเป็นการให้เกียรติ ก็จะให้ทางคณะกรรมการชุดดังกล่าวทำหนังสือเชิญบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ทั้งนี้ บุคคลภายนอกจะมาให้ข้อมูลหรือไม่ก็ได้
"ส่วนเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยไม่สามารถให้บุคคลภายนอกมาดำเนินการได้นั้น ก็ต้องหารือในข้อกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง การเสนอดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอของชมรมแพทย์ชนบทที่อยากให้ นพ.บรรลุ ศิริพานิช อดีตรองปลัด สธ.ผู้ที่สังคมให้การเชื่อถือในสมัยตรวจสอบทุจริตยา 1,400 ล้านบาทมาตรวจสอบในครั้งนี้"นายวิทยากล่าว
ต่อข้อถามถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าผลการสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตัดตอนในส่วนของนักการเมืองที่เกี่ยวข้อง นายวิทยา กล่าวว่า ตนเองไม่เคยสั่งให้มีการตัดตอนที่จะไม่ดำเนินการเอาผิดนักการเมืองแต่อย่างใด
**กมธ.วุฒิตั้งอนุฯ สอบทุจริต สธ.
ที่รัฐสภา การประชุมคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา ที่มี น.พ.อนันต์ อริยะชัยพาณิชย์ ส.ว.สุรินทร์ ประธานคณะกรรมาธิการ เป็นประธาน โดยที่ประชุมได้พิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อครุภัณฑ์ตามโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.ซึ่งที่ประชุมมีมติตั้งอนุกรรมาธิการฯ ตรวจสอบงบโครงการไทยเข้มแข็งโดยมี น.พ.เจตต์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานกรรมาธิการฯ เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการฯ โดย น.พ.เจตน์ กล่าวว่า เบื้องต้นจะลงไปตรวจสอบงบฯ ของ สธ. ซึ่งจะตรวจสอบต่อยอดจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ที่มีการร้องเรียน 6 รายการ ของ สธ. รวมทั้งจะเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง ซึ่งเรื่องนี้หากพบว่ามีการทุจริตจะส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อไป
น.พ.เจตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่คณะกรรมการฯ พบว่าคนกระทำผิดส่วนใหญ่เป็นข้าราชการและข้าราชที่เกษียนแล้ว แต่ไม่ปรากฏชื่อของนักการเมือง เรื่องนี้การที่จะสาวถึงนักการเมืองคงเป็นเรื่องยาก เพราะนักการเมืองสั่งการโดยปากเปล่า อย่างไรก็ตามหากมีพยานบุคคลยืนยันว่ามีนักการเมืองสั่งการเรื่องนี้ 2-3 คนขึ้นไป ก็ถือว่ามีเหตุอันควรได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น
**ตั้ง ปธ.สอบ สธ.เป็นรองปลัดฯ
นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนของ สธ. 8 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองปลัดฯ เป็นอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นายมานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นอธิบดีกรมควบคุมโรค นายนรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เป็นอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายสมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เป็นอธิบดีกรมอนามัย นายเสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ นายทะนงสรรค์ สุธาธรรม ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ นายสถาพร วงษ์เจริญ ผู้ตรวจราชการฯ เป็นรองปลัดฯ และนางวิลาวัณย์ จึงประเสริฐ ผู้ตรวจราชการฯ เป็นอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก