ASTVผู้จัดการรายวัน - ครม.ไฟเขียวลดภาษีธุรกิจสปาเหลือ 0% หวังกระตุ้นท่องเที่ยว เบื้องต้นวัด โรงพยาบาลและนวดแผนโบราณไม่มีปัญหา ส่วนในโรงแรมและห้างสรรพสินค้าต้องตรวจสอบว่าเข้าข่ายตามนิยามกฏหมายหรือไม่
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 ต.ค.) อนุมัติลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปา จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 10% ลงมาเหลือ 0% ตามที่้กระทรวงการคลังจะเสนอ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการตามที่ได้ร้องมากระทรวงการคลัง การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปาดังกล่าว จะสอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสรรพสามิต มั่นใจว่าจะเป็นแรงสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้ขยายตัวต่อไปได้
ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปา ตามนิยามทางกฎหมายจะครอบคลุมถึงสถานบริการในวัด โรงพยาบาล สถานพยาบาล และนวดแผนโบราณ เท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการสปาตามโรงแรม และห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะต้องตีความตามนิยามธุรกิจสปาว่าเข้าข่ายสปาตามกฎหมายหรือไม่
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวจะสอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งในเรื่องการสร้างรายได้เข้าประเทศให้ขยายตัวต่อไปได้ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปาเหลือ 0% แม้จะทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่จัดเก็บได้ตามปกติจากธุรกิจสปาในปัจจุบันที่ขึ้นทะเบียนและเสียภาษีกว่า 1,000 แห่ง โดยการสูญเสียรายได้ดังกล่าวไม่เป็นภาระกับรัฐบาล เพราะเป็นที่รายได้ไม่มาก แต่ผลตอบแทนจากภาคการท่องเที่ยวกลับมาจะสูงกว่า
ช่วง 11 เดือนของงบงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551-สิงหาคม 2552) กรมสรรพสามิตมีรายได้จากภาษีสถานบริการธุรกิจสปา รวม 917 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 อยู่ที่ 131 ล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนกฎหมายอื่นๆ ที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม.พิจารณา เช่น ร่างพ.ร.บ.การออมแห่งชาติ ที่จะมีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ขึ้นมาดูแลแรงงานนอกระบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2553 อาเซียนได้กำหนดเป้าหมายเปิดตลาดในสาขาบริการต่างๆ โดยจะเร่งรัดเปิดเสรีใน 4 สาขาบริการ ได้แก่ ท่องเที่ยวสุขภาพ ขนส่งทางอากาศ โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ เงื่อนไขดังกล่าวถือเป็นปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามามีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งธุรกิจสปา ซึ่งอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวและสุขภาพ การลดภาษีธุรกิจสปาจึงน่าจะช่วยบรรเทาภาระได้ในระดับหนึ่ง
ข้อมูลจากสมาพันธ์สปาไทยระบุว่า ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างเชี่ยวชาญ ชำนาญเป็นพิเศษ เมื่อต้องเข้าสู่ภาวะแข่งขันอย่างเสรีแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะธุรกิจสปาได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ขณะนี้มีสปาในเมืองไทยมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นของคนไทย 80% ที่เหลือประมาณ 20% เป็นของต่างชาติ
"ธุรกิจสปาต้องเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสมุนไพร และเครื่องสำอาง จากเดิมการนำเข้าต้องเสียภาษี 40% เมื่อเปิดเสรีการค้า ภาษีจะเหลือแค่ 0% ทำให้การแข่งขันสูงสินค้าจากเพื่อนบ้านไหลเข้าไทยมากขึ้น ในกลุ่มเอสเอ็มอีที่นอกจากทำธุรกิจบริการแล้ว รายไหนที่พ่วงขายสินค้าด้วยก็จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ต่อไปสินค้าที่ผลิตในประเทศจะต้องปรับตัวในด้านราคาค่อนข้างมาก เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศ".
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 ต.ค.) อนุมัติลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปา จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 10% ลงมาเหลือ 0% ตามที่้กระทรวงการคลังจะเสนอ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการตามที่ได้ร้องมากระทรวงการคลัง การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปาดังกล่าว จะสอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมสรรพสามิต มั่นใจว่าจะเป็นแรงสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวของไทยให้ขยายตัวต่อไปได้
ทั้งนี้ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปา ตามนิยามทางกฎหมายจะครอบคลุมถึงสถานบริการในวัด โรงพยาบาล สถานพยาบาล และนวดแผนโบราณ เท่านั้น ขณะที่ผู้ประกอบการสปาตามโรงแรม และห้างสรรพสินค้าต่างๆ จะต้องตีความตามนิยามธุรกิจสปาว่าเข้าข่ายสปาตามกฎหมายหรือไม่
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า มาตรการดังกล่าวจะสอดคล้องกับแนวทางการสนับสนุนภาคธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเป็นจุดแข็งในเรื่องการสร้างรายได้เข้าประเทศให้ขยายตัวต่อไปได้ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตธุรกิจสปาเหลือ 0% แม้จะทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่จัดเก็บได้ตามปกติจากธุรกิจสปาในปัจจุบันที่ขึ้นทะเบียนและเสียภาษีกว่า 1,000 แห่ง โดยการสูญเสียรายได้ดังกล่าวไม่เป็นภาระกับรัฐบาล เพราะเป็นที่รายได้ไม่มาก แต่ผลตอบแทนจากภาคการท่องเที่ยวกลับมาจะสูงกว่า
ช่วง 11 เดือนของงบงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551-สิงหาคม 2552) กรมสรรพสามิตมีรายได้จากภาษีสถานบริการธุรกิจสปา รวม 917 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 อยู่ที่ 131 ล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนกฎหมายอื่นๆ ที่กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม.พิจารณา เช่น ร่างพ.ร.บ.การออมแห่งชาติ ที่จะมีการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ขึ้นมาดูแลแรงงานนอกระบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในปี 2553 อาเซียนได้กำหนดเป้าหมายเปิดตลาดในสาขาบริการต่างๆ โดยจะเร่งรัดเปิดเสรีใน 4 สาขาบริการ ได้แก่ ท่องเที่ยวสุขภาพ ขนส่งทางอากาศ โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ เงื่อนไขดังกล่าวถือเป็นปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามามีผลต่อการขับเคลื่อนธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมทั้งธุรกิจสปา ซึ่งอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวและสุขภาพ การลดภาษีธุรกิจสปาจึงน่าจะช่วยบรรเทาภาระได้ในระดับหนึ่ง
ข้อมูลจากสมาพันธ์สปาไทยระบุว่า ผู้ประกอบการไทยค่อนข้างเชี่ยวชาญ ชำนาญเป็นพิเศษ เมื่อต้องเข้าสู่ภาวะแข่งขันอย่างเสรีแล้ว เป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะธุรกิจสปาได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ขณะนี้มีสปาในเมืองไทยมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นของคนไทย 80% ที่เหลือประมาณ 20% เป็นของต่างชาติ
"ธุรกิจสปาต้องเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสมุนไพร และเครื่องสำอาง จากเดิมการนำเข้าต้องเสียภาษี 40% เมื่อเปิดเสรีการค้า ภาษีจะเหลือแค่ 0% ทำให้การแข่งขันสูงสินค้าจากเพื่อนบ้านไหลเข้าไทยมากขึ้น ในกลุ่มเอสเอ็มอีที่นอกจากทำธุรกิจบริการแล้ว รายไหนที่พ่วงขายสินค้าด้วยก็จะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ต่อไปสินค้าที่ผลิตในประเทศจะต้องปรับตัวในด้านราคาค่อนข้างมาก เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศ".
