คาดกองทุนการออมแห่งชาติ ดันธุรกิจกองทุนรวมโต แถมส่งผลดีต่อการลงทุน และความมั่นคงของแรงงานนอกระบบในประเทศ แต่แนะจับตาขนาดกองทุนหวั่นขยายตัวน้อย แรงงานเมินจ่ายสมทบหรือเข้าโครงการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลังได้เสนอหลักการและร่างกฎหมายของการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เข้าสู่การพิจารณาของกระทรวงการคลังนั้น ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามเห็นชอบในกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาดว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายต่อไปในช่วงต้นเดือนกันยายน 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน
โดยกอช.น่าจะส่งผลดีหลายประการ อาทิ การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศและช่วยส่งเสริมการออมของภาคประชาชน รวมทั้งยังเป็นกลไกลที่ช่วนในการระดมเงินทุน
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของสมาชิกหลังเกษียณที่สมาชิกกองทุนจะได้รับนั้นจะมีความแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับ 1ระยะเวลาและความต่อเนื่องของการออมเงิน ทั้งนี้ ยิ่งสมาชิกกอช.ออมเงินตั้งแต่อายุน้อย (20-30 ปี) ไปจนถึงอายุ 60 ปีอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้รายได้หลังเกษียณเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
2.จำนวนเงินที่จ่ายสะสม เนื่องจากกอช.กำหนดให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมขั้นต่ำเดือนละ 100 บาท และจ่ายสะสมเพิ่มตามความสมัครใจได้อีกเดือนละ 100-1,000 บาท โดยหากสามารถนำส่งเงินสะสมเข้ากอช.ในอัตราที่สูงกว่าเงินสะสมขั้นต่ำมากขึ้นเท่าใด ก็จะส่งผลให้รายได้หลังเกษียณเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการลงทุนของกองทุนกอช. ผู้จัดการกองทุนของน่าจะนำเงินออมไปกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร เงินฝาก หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ส่วนนโยบายการลงทุนที่กอช.กำหนด เพื่อที่จะสามารถให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ (อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์) โดยอาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งกอชน่าที่จะส่งผลดีหลายประการ อาทิ การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศและช่วยส่งเสริมการออมของภาคประชาชน ตลอดจนยังเป็นกลไกลที่ช่วนในการระดมเงินทุนซึ่งจะส่งผลในการช่วยพัฒนาตลาดทุนของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การตั้งกองทุนกอช.นอกจากจะส่งผลดีที่กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้น ยังส่งผลดีต่อธุรกิจบลจ.ในด้านรายได้ค่าธรรมเนียมที่จะได้รับ หากถูกคัดเลือกให้เข้าไปบริหารทรัพย์สินของกองทุนดังกล่าว
ส่วนการบังคับใช้ พรบ.กองทุนการออมแห่งชาตินั้น อาจต้องรอความชัดเจนในหลายๆ ประเด็น โดยประการแรกจะต้องดูปัจจัยด้านการขนาดและการเติบโตของเงินนำส่งเข้ากองทุน ซึ่งถ้าแรงงานนอกระบบทั้งหมดจำนวน 24-25 ล้านคน ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกอช. ก็จะช่วยให้เงินออมในระยะยาวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หากมีผู้เข้าระบบต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมไม่มากนัก ก็อาจกระทบต่อขนาดและการเติบโตของเงินกองทุนให้ลดลงไปตามลำดับ นอกจากนี้หากสมาชิกขาดส่งเงินสะสมเข้ากองทุน เนื่องจากสมาชิกบางรายมีรายได้น้อยและไม่แน่นอน
ขณะที่บางเดือนอาจไม่มีรายได้เข้ามาเลย ก็อาจทำให้การส่งเงินสะสมเข้ากองทุนเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น ทางการอาจต้องมีข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการผ่อนปรนการสะสมเงินเข้ากองทุน โดยสมาชิกอาจจ่ายเป็นรายงวดหรือรายปี เป็นต้น
ส่วน 2 ประการสุดท้ายเป็นเรื่องของนโยบายการลงทุน ที่จะต้องเป็นหลักประกันว่าสมาชิกจะได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไข และสุดท้ายเป็นการคัดเลือกบลจ.ที่จะมาดูแลเงินซึ่ต้องมีผลงานดี และอาจต้องพิจารณาด้านค่าธรรมเนียมที่ควรอยู่ในระดับต่ำ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า หลังจากที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลังได้เสนอหลักการและร่างกฎหมายของการจัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เข้าสู่การพิจารณาของกระทรวงการคลังนั้น ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามเห็นชอบในกฎหมายกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ คาดว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่และที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันเป็นกฎหมายต่อไปในช่วงต้นเดือนกันยายน 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการออมของภาคประชาชน
โดยกอช.น่าจะส่งผลดีหลายประการ อาทิ การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศและช่วยส่งเสริมการออมของภาคประชาชน รวมทั้งยังเป็นกลไกลที่ช่วนในการระดมเงินทุน
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของสมาชิกหลังเกษียณที่สมาชิกกองทุนจะได้รับนั้นจะมีความแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับ 1ระยะเวลาและความต่อเนื่องของการออมเงิน ทั้งนี้ ยิ่งสมาชิกกอช.ออมเงินตั้งแต่อายุน้อย (20-30 ปี) ไปจนถึงอายุ 60 ปีอย่างต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้รายได้หลังเกษียณเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
2.จำนวนเงินที่จ่ายสะสม เนื่องจากกอช.กำหนดให้สมาชิกจ่ายเงินสะสมขั้นต่ำเดือนละ 100 บาท และจ่ายสะสมเพิ่มตามความสมัครใจได้อีกเดือนละ 100-1,000 บาท โดยหากสามารถนำส่งเงินสะสมเข้ากอช.ในอัตราที่สูงกว่าเงินสะสมขั้นต่ำมากขึ้นเท่าใด ก็จะส่งผลให้รายได้หลังเกษียณเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าการลงทุนของกองทุนกอช. ผู้จัดการกองทุนของน่าจะนำเงินออมไปกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น หุ้น พันธบัตร เงินฝาก หรืออสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ส่วนนโยบายการลงทุนที่กอช.กำหนด เพื่อที่จะสามารถให้ผลประโยชน์ตอบแทนแก่สมาชิกเมื่อสิ้นสมาชิกภาพได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ (อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์) โดยอาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งกอชน่าที่จะส่งผลดีหลายประการ อาทิ การสร้างหลักประกันด้านรายได้ให้กับแรงงานนอกระบบทั่วประเทศและช่วยส่งเสริมการออมของภาคประชาชน ตลอดจนยังเป็นกลไกลที่ช่วนในการระดมเงินทุนซึ่งจะส่งผลในการช่วยพัฒนาตลาดทุนของประเทศ
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การตั้งกองทุนกอช.นอกจากจะส่งผลดีที่กล่าวไปข้างต้นแล้วนั้น ยังส่งผลดีต่อธุรกิจบลจ.ในด้านรายได้ค่าธรรมเนียมที่จะได้รับ หากถูกคัดเลือกให้เข้าไปบริหารทรัพย์สินของกองทุนดังกล่าว
ส่วนการบังคับใช้ พรบ.กองทุนการออมแห่งชาตินั้น อาจต้องรอความชัดเจนในหลายๆ ประเด็น โดยประการแรกจะต้องดูปัจจัยด้านการขนาดและการเติบโตของเงินนำส่งเข้ากองทุน ซึ่งถ้าแรงงานนอกระบบทั้งหมดจำนวน 24-25 ล้านคน ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกอช. ก็จะช่วยให้เงินออมในระยะยาวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หากมีผู้เข้าระบบต่ำกว่าเป้าหมายเนื่องจากมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมไม่มากนัก ก็อาจกระทบต่อขนาดและการเติบโตของเงินกองทุนให้ลดลงไปตามลำดับ นอกจากนี้หากสมาชิกขาดส่งเงินสะสมเข้ากองทุน เนื่องจากสมาชิกบางรายมีรายได้น้อยและไม่แน่นอน
ขณะที่บางเดือนอาจไม่มีรายได้เข้ามาเลย ก็อาจทำให้การส่งเงินสะสมเข้ากองทุนเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น ทางการอาจต้องมีข้อกำหนดที่ชัดเจนเกี่ยวกับการผ่อนปรนการสะสมเงินเข้ากองทุน โดยสมาชิกอาจจ่ายเป็นรายงวดหรือรายปี เป็นต้น
ส่วน 2 ประการสุดท้ายเป็นเรื่องของนโยบายการลงทุน ที่จะต้องเป็นหลักประกันว่าสมาชิกจะได้รับประโยชน์ตามเงื่อนไข และสุดท้ายเป็นการคัดเลือกบลจ.ที่จะมาดูแลเงินซึ่ต้องมีผลงานดี และอาจต้องพิจารณาด้านค่าธรรมเนียมที่ควรอยู่ในระดับต่ำ
