xs
xsm
sm
md
lg

กรณ์ชง ครม.เพิ่มงบไทยเข้มแข็ง 2.4 แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังชงครม.ขออนุมัติกรอบวงเงินโครงการไทยเข้มแข็งอีก 2.4 แสนล้านบาท รวมเป็น 1.3 ล้านล้านบาท แจกอปท. ทำโครงการบ้านมั่นคง อุ้มเกษตรกร หนุนโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เปิดรับแจ้งทุจริตทางอีเมลหวังสกัดงบรั่วไหล พร้อมเว้นภาษีสปาเหลือ 0% ยันไม่กระทบรายได้รัฐ เหตุเม็ดเงินไม่ถึง 100 ล้านบาท

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้กระทรวงการคลังจะเสนอขออนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมในโครงการตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็งอีก 2.4 แสนล้านบาทรวมจากที่อนุมัติไปก่อนหน้านี้ 1.06 ล้านล้านบาทรวมเป็นเงิน 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งในหลักการสามารถจัดทำโครงการได้ถึงวงเงิน 1.43 ล้านล้านบาทในระยะ 3 ปี โดยส่วนที่เหลือสามารถนำเสนอขออนุมัติจากครม.ได้ในภายหลังหากมีโครงการที่ดีกว่า

สำหรับโครงการใช้เงินที่เพิ่มเข้ามานั้น จะเป็นการใช้เงินในโครงการประกันรายได้เกษตรกร 4 หมื่นล้านบาท โครงการบ้านมั่นคง 3 พันล้านบาท จัดสรรให้องค์การบริการส่วนท้องถิ่น(อปท.) อีก 2.3 หมื่นล้านบาท และโครงการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 2.2 หมื่นล้านบาทและโครงการอื่นๆ ซึ่งรายละเอียดจะเสนอให้ครม.รับทราบในสัปดาห์หน้าหลังคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการจัดสรรว่าส่วนใดจะได้รับการจัดสรรเท่าใด

**ยันเงินคงคลังมั่นคงสูง
นอกจากนั้นจะเสนอครม.ขอจัดสรรเม็ดเงินในโครงการเพิ่มเติมอีก 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ดีขึ้นส่งผลให้ความจำเป็นกู้เงินชดเชยเงินคงคลังมีลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ 1 แสนล้านบาทใช้ไปเพียง 5 หมื่นล้านบาท จึงจะนำส่วนนี้มาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็งก้อนแรกจากเงินกู้ตามพ.ร.ก. 4 แสนล้านบาท

“เดิมจะใช้เงินกู้ในพ.ร.ก.จัดสรรให้โครงการไทยเข้มแข็ง 3 แสนล้านบาท ชดเชยเงินคงคลัง 1 แสนล้านบาท และที่ผ่านมาจัดสรรโครงการไปแล้ว 2 แสนล้านบาท จึงเหลืออีก 1 แสนล้านรวมกับที่เพิ่มมาอีก 5 หมื่นล้านบาทและจะเสนอรายละเอียดโครงการอีกครั้งในสัปดาห์หน้า”นายกรณ์ กล่าวและว่า การชดเชยเงินคงคลังที่ลดลงนั้นไม่กระทบกับเสถียรภาพทางการคลัง เพราะปัจจุบันเงินคงคลังอยู่ในระดับสูงถึง 2.9 แสนล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลารายงานฐานะเงินคงคลังรายเดือนของปีงบ 2553 ให้ทราบพบว่าเดือนเมษายนจะลดลงไปต่ำสุดที่ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังเพียงพอใช้จ่ายในช่วงนั้นๆ และไม่เก็ดปัญหา

**เพิ่มเวปตรวจสอบความโปร่งใส
รมว.คลัง กล่าวว่า เพื่อให้การตรวจสอบการใช้เงินจากโครงการไทยเข้มแข็งมีประสิทธิภาพสูงสุด และป้องกันการรั่วไหลของเงิน จึงจะเปิดช่องทางรับเรื่องร้องเรียนหรือชี้เบาะแสการทุจริตจากประชาชนและข้าราชการหากเห็นว่ามีความผิดปกติของการใช้เงินในโครงการทางอีเมล publicwatch@TKK2555.com เพราะขณะนี้มีผู้ต้องการแจ้งข้อมูลเข้ามาแต่ไม่อยากเปิดเผยที่มาของข้อมูล โดยหากกระทรวงการคลังได้ข้อมูลจะให้กรมบัญชีกลางกรองข้อมูลในเบื้องต้นหากมีมูลและขยายความได้ก็จะส่งต่อให้คณะกรรมการติดตามและประเมินโครงการไปดำเนินการตรวจสอบต่อไป

“ข้อกล่าวหาการทุจริตรายโครงการนั้น ณ ปัจจุบันยังไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่ก็มีโอกาสที่จะมีอะไรเกิดขึ้นได้ จึงต้องมีช่องทางตรวจสอบเพิ่มเติม แม้ว่าการใช้เงินไทยเข้มแข็งนั้นถือว่ามีความโปร่งใสมากกว่าการใช้งบปกติ ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกโครงการเพื่อดูราคาตามสัญญาก่อสร้างและรายชื่อผู้รับเหมาก่อสร้าง และได้ขอให้สำนักงบประมาณเปิดเผยข้อมูลการเบิกจ่ายรายกระทรวงและรายโครงการด้วยนอกจากนั้นจะมีการรายงานความคืบหน้าให้ครม.ทราบทุกสัปดาห์เพื่อให้รัฐมนตรีเจ้าทรวงช่วยขับเคลื่อนต่อไป” รมว.คลังกล่าว

**2 สัปดาห์ส่งแผนพัฒนาตลาดทุน
นายกรณ์กล่าวว่า จากการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาตลาดทุนในประเด็นการปรับโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้มีข้อสรุปที่จะชัดเจนพอที่จะเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนในวันที่ 16 ตุลาคมได้แล้ว และจะนำแผนรวมทั้งหมดเสนอในที่ประชุมครม.ในอีก 2 สัปดาห์ รวมถึงเสนอกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างตลาดทุนและปรับโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ หลังจากนั้นจะมีการประกาศตารางเวลารายละเอียดรวมถึงโครงสร้างกองทุนพัฒนาตลาดทุนที่จะต้องจัดตั้งในพรบ.ฉบับดังกล่าวนี้ให้ชัดเจน

“การปรับโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะนักลงทุนมีความสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยดีในช่วงที่ผ่านมา โดยจะเห็นจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ต้นปีโดดเด่นแห่งหนึ่งของโลก” นายกรณ์กล่าว

สำหรับความคืบหน้าในการนำเสนอพรบ.การออมแห่งชาติ(กอช.) ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาตลาดทุน ที่จะต้องเสนอประกอบกับกฎหมายลูกอีกหลายฉบับประกอบแผนปรับโครงสร้างตลาดหลักทรัพย์ แต่จะเสนอครม.ในสัปดาห์ถัดไป หลังจากที่แผนการปรับโครงสร้างตลาดหุ้นผ่านความเห็นชอบจากครม.แล้ว

**เว้นภาษีสปาเหลือ 0%
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังเปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันที่ 13 ตุลาคม เพื่ออนุมัติการยกเว้นการเก็บภาษีสรรพาสามิตธุรกิจสปาจากอัตรา 10% เหลือ 0% เพื่อส่งเสริมธุรกิจสปาและสอดคล้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งมั่นใจว่า ครม.จะพิจารณาเห็นชอบและจะครอบคลุม 1,000 สถานบริการที่จัดเก็บภาษีในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เพราะการจัดเก็บภาษีธุรกิจสปาในปัจจุบันเป็นเม็ดเงินภาษีไม่ถึง 100 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น