ASTVผู้จัดการรายวัน-“มาร์ค”ระบุยังไม่มีข้อมูลทุจริตไทยเข้มแข็ง สธ.พาดพิงถึงรัฐมนตรี ให้ลาออกหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อมูล ยืนยันหมอชนบทไม่ได้ยื่น 5 ชื่อคนทุจริตให้ และไม่ได้ขัดแย้งกับ “หมอเกรียง” ด้านสมาคมวิชาชีพสาธารณสุขค้านบีบ “วิทยา” ลาออก แนะตั้งคณะกรรมการคนนอกตรวจสอบ จี้ปรับย้าย ผอ.สนย.-สบภ.พ้นตำแหน่ง เปิดทางตรวจสอบ “วิทยา” ชี้ลาออกไม่ช่วยอะไร
วานนี้(11 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์”เกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ภายใต้โครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีพิเศษ และขอบคุณชมรมแพทย์ชนบทที่ติดตามเรื่องนี้ ทั้งนี้ ได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นของการเปิดตัวโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งแล้วว่า การลงทุนมหาศาลย่อมมีความวิตกกังวลกันมากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันที่ดีที่สุด คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ช่วยเป็นหูเป็นตานำข้อมูลมาให้รัฐบาล และสิ่งที่รัฐบาลพิสูจน์ คือ เมื่อมีข้อมูลลักษณะนี้ รัฐบาลไม่เพิกเฉยแน่นอน
**“วิทยา-มานิต”ออกหรือไม่ขอดูข้อมูล
ส่วนที่ชมรมแพทย์ชนบทลงมติเรียกร้องให้นายวิทยา แก้วภารดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยฯ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจ เพราะเท่าที่พูดคุยกันในเชิงข้อมูลไม่มีประเด็นนี้ หากชมรมแพทย์ชนบทมีข้อมูลเพิ่มเติมสามารถส่งมาได้ ทั้งนี้ ไม่ได้สนใจว่ามีเรื่องการเมืองอะไรหรือไม่ แต่จะดูตามข้อเท็จจริง จากการพูดคุยกับกลุ่มแพทย์ชนบทได้ตกลงกันด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีการนำรายชื่อ 5 รายชื่อมาใส่มือตน เพียงแต่พูดคุยกันว่าพาดพิงถึงใครบ้าง ส่วนรัฐมนตรีจะต้องออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เขาจะส่งมา
“ผมยังไม่เห็นข้อมูล เพราะวันนั้นเวลาคุยกันสั้นไปนิดหนึ่ง ผมจึงขอให้หมอเขียนมาเป็นเอกสาร ผมก็รออยู่ และรัฐมนตรีวิทยา (แก้วภราดัย) บอกว่า มีโอกาสที่จะลงโทษได้ กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ยังไม่ได้บอกรายละเอียด ท่านบอกผมเมื่อวานนี้ว่า น่าจะมีโอกาสเพราะได้หลักฐานมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ชัดว่าจะสรุปได้เมื่อไหร่” นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การออกมาเปิดเผยเรื่องความไม่โปร่งใสครั้งนี้เป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการใน สธ.พอดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้แยกเรื่องนี้ออกไป ซึ่งได้คุยกับปลัด สธ.และได้รับคำยืนยันว่า จะต้องไม่มีปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นข่าวในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องความไม่โปร่งใส ซึ่งเรื่องกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย และขอยืนยันว่า จะดูแลทุกอย่างให้โปร่งใส และคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้จะต้องถูกลงโทษและรับผิดชอบ
**วิชาชีพสธ.แย้งไม่ควรบีบ“วิทยา”ออก
นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สมาคมฯขอเรียกร้องเกี่ยวกับการตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ. 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ไม่เห็นด้วยกับการบีบให้นายวิทยา ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็นการหนีปัญหาไม่ใช่แก้ปัญหา แต่ รมว.สธ.จะต้องอยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความโปร่งใส จนสามารถเอาผิดทางกฎหมายกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นคนนอก ซึ่งมีความเป็นกลาง สังคมเชื่อถือและให้การยอมรับเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
“การที่ตั้ง นพ.เสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ ไม่ได้ทำให้ความเคลือบแคลงใจของประชาชนหายไป เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นรองปลัด สธ.ด้านบริหารที่รับผิดชอบโครงการไทยเข้มแข็งในอนาคต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดทางให้คณะกรรมการที่เป็นคนนอกเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ และเปิดเผยความจริงโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนักการเมืองและข้าราชการ เพราะเรื่องนี้สะเทือนขวัญคนในวงการสาธารณสุขอย่างมาก และเรื่อง สธ.ที่อื้อฉาวในอดีตก็ยังคลุมเครืออยู่เกือบหมด”นายไพศาลกล่าว
**เสนอย้าย ขรก.ประจำพ้นทาง
นายไพศาล กล่าวอีกว่า 2.รมว.สธ.ต้องดำเนินมาตรการทางบริหารสำหรับข้าราชการประจำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง โดยไม่ต้องรอผลสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบแล้วเสร็จ ด้วยการย้ายหรือปรับผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์(สนย.) ผอ.สำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค(สบภ.)และผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการไทยเข้มแข็งพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้คณะกรรมการเข้าตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเต็มที่
นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า และ 3.ในส่วนของคณะกรรมการย่อยที่ทำหน้าที่ทบทวนรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข็งทั้งหมด ควรให้มีผู้แทนจากวิชาชีพสาธารณสุขเข้าร่วมด้วยโดยเฉพาะในส่วนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) เนื่องจากสมาชิกสมาคมฯส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในสถานีอนามัย(สอ.)เกือบ 1 หมี่นแห่ง และในฐานะที่เป็นองค์กรแรกที่ออกมาเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลในขั้นตอนของการสำรวจความต้องการครุภัณฑ์ จากการที่ พญ.ศิริพร กัญชนะ อดีตรองปลัดสธ.ด้านบริหารลงนามในคำสั่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ให้ สอ.ทำการแจ้งความต้องการรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างเพียง 3 วัน และติดวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งในส่วนของสิ่งก่อสร้าง เจ้าหน้าที่โยธาไม่สามารถทำการรับรองได้ทัน เท่ากับเป็นการเร่งรีบแบบผิดสังเกต และร้องให้มีการทบทวนรายการใหม่
“สมาคมฯออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เป็นการพิทักษ์และปกป้องผลประโยชน์ชาติและแผ่นดิน จึงอยากเรียกร้องให้คนที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นนักการเมือง ข้าราชการประจำที่เกษียณอายุราชการแล้วหรือยังอยู่ในตำแหน่ง รับผิดชอบต่อสังคม”นายไพศาลกล่าว
**“วิทยา”ยันลาออกไม่ช่วยอะไร
ด้าน นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีแพทย์ชนบทเรียกร้องให้ รมว.และ รมช.สาธารณสุข แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้การตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.เป็นไปอย่างโปร่งใสว่า ข้อเรียกร้องของแพทย์ชนบทไม่มีความชัดเจนว่า ต้องการให้แสดงสปิริตเพื่ออะไร ตนเป็นอุปสรรคในการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไร จะให้หาผู้ที่กระทำผิดหรือแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง อยากให้พูดออกมาตรงๆ เพราะฟังแล้วเข้าใจยาก และหากต้องการให้แก้ปัญหา การลาออกช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งการเร่งหาหาผู้กระทำผิดก็เป็นการแสดงสปิริตเหมือนกัน
เมื่อถามถึงกรณีแพทย์ชนบทออกมาระบุว่า มีการสั่งการให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ลงพื้นที่ เพื่อเกลี่ยกล่อมให้ยอมรับครุภัณฑ์ในรายการที่ไม่ได้ขอไป นายวิทยา กล่าวว่า คงต้องถามคนที่ถูกพาดพิง เพราะไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้สั่งการ หากระบุว่าเป็นหัวหน้าผู้ตรวจหรือปลัด สธ.ตนจะได้ถามความจริง
ส่วนที่ต้องเรียก นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทมาหารือหรือไม่นั้น นายวิทยา กล่าวว่า นพ.เกรียงศักดิ์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณา ทบทวนโครงการไทยเข้มแข็งอยู่แล้ว การให้เข้ามาคุยก็กลายเป็นว่าวิ่งเข้าไปขอเขาอีก ซึ่งไม่เหมาะสม แต่ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ตรงไปตรงมาที่สุดและให้แพทย์ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึง นพ.เกียรติศักดิ์ ที่สามารถทำหน้าที่ในการตรวจสอบได้
ต่อข้อถามว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการฯ จะสามารถชี้ตัวบุคคลที่กระทำผิดหรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า ให้ถามคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งคงต้องดูรายละเอียดข้อมูลก่อนว่า เป็นได้ข้อสรุปอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องการทาบทามคนนอกมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบฯ นั้น ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ ต้องรอผลการตรวจสอบที่ชัดเจนก่อน
**เรียกร้องคน สธ.ช่วยทำโปร่งใส
“ผมไม่หนักใจ ถึงแม้จะเหลือผมเพียงคนเดียว เพราะทีมที่ปรึกษาลาออกไปหมดแล้ว แต่หากที่สุดแล้วตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ควรมีสิทธิ์ที่จะกลับมากู้ชื่อเสียงและทำงานต่อไป”นายวิทยากล่าว
ต่อข้อถามว่า ได้หารือกับนายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข ต่อกรณีเรียกร้องให้มีการลาออกหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ทุกคนทั้งรัฐมนตรีช่วย ทีมที่ปรึกษาของรมช.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเป็นอย่างดี ส่วนการลาออกของทีมที่ปรึกษาของตน เป็นการตัดสินใจลาออกกันเอง ไม่มีใครขอให้ลาออก
วันเดียวกัน นายวิทยา ให้สัมภาษณ์ในการให้นโยบายต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผอ.รพ.ชุมชน สาธารณสุขอำเภอ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่อยู่ใน 14 จังหวัดภาคใต้ว่า จากที่ สธ.ได้รับงบประมาณ และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์โครงการไทยเข้มแข็ง โดยข้อร้องเรียนกรณีการจัดซื้อบางอย่างไม่โปร่งใส เกรงว่าจะเกิดการทุจริตคอรัปชั่น ขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันแต่อย่างใด จึงจำเป็นที่ สธ.ต้องพิสูจน์ สะสางก่อนการก่อหนี้ หากมีการทุจริตจริงก็จะถูกดำเนินการทั้งทางกฎหมายและสังคม
ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบได้มอบหมายให้ปลัด สธ.ตั้งกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ให้มีการประชุมทุกวัน และได้เรียกร้องให้ชาวสาธารณสุขทำให้ สธ.โปร่งใส ยืนยันไม่มีใครมาล้มหรือยกเลิกโครงการไทยเข้มแข็งได้โดยเด็ดขาด แต่จะทำให้โครงการโปร่งใส เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน
วานนี้(11 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯ อภิสิทธิ์”เกี่ยวกับการตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ภายใต้โครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรณีพิเศษ และขอบคุณชมรมแพทย์ชนบทที่ติดตามเรื่องนี้ ทั้งนี้ ได้บอกไว้ตั้งแต่ต้นของการเปิดตัวโครงการแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งแล้วว่า การลงทุนมหาศาลย่อมมีความวิตกกังวลกันมากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งการแก้ไขปัญหาหรือป้องกันที่ดีที่สุด คือ การมีส่วนร่วมของประชาชน ช่วยเป็นหูเป็นตานำข้อมูลมาให้รัฐบาล และสิ่งที่รัฐบาลพิสูจน์ คือ เมื่อมีข้อมูลลักษณะนี้ รัฐบาลไม่เพิกเฉยแน่นอน
**“วิทยา-มานิต”ออกหรือไม่ขอดูข้อมูล
ส่วนที่ชมรมแพทย์ชนบทลงมติเรียกร้องให้นายวิทยา แก้วภารดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยฯ ลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใส นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจ เพราะเท่าที่พูดคุยกันในเชิงข้อมูลไม่มีประเด็นนี้ หากชมรมแพทย์ชนบทมีข้อมูลเพิ่มเติมสามารถส่งมาได้ ทั้งนี้ ไม่ได้สนใจว่ามีเรื่องการเมืองอะไรหรือไม่ แต่จะดูตามข้อเท็จจริง จากการพูดคุยกับกลุ่มแพทย์ชนบทได้ตกลงกันด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีการนำรายชื่อ 5 รายชื่อมาใส่มือตน เพียงแต่พูดคุยกันว่าพาดพิงถึงใครบ้าง ส่วนรัฐมนตรีจะต้องออกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เขาจะส่งมา
“ผมยังไม่เห็นข้อมูล เพราะวันนั้นเวลาคุยกันสั้นไปนิดหนึ่ง ผมจึงขอให้หมอเขียนมาเป็นเอกสาร ผมก็รออยู่ และรัฐมนตรีวิทยา (แก้วภราดัย) บอกว่า มีโอกาสที่จะลงโทษได้ กำลังตรวจสอบอยู่ แต่ยังไม่ได้บอกรายละเอียด ท่านบอกผมเมื่อวานนี้ว่า น่าจะมีโอกาสเพราะได้หลักฐานมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ชัดว่าจะสรุปได้เมื่อไหร่” นายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า การออกมาเปิดเผยเรื่องความไม่โปร่งใสครั้งนี้เป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการใน สธ.พอดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้แยกเรื่องนี้ออกไป ซึ่งได้คุยกับปลัด สธ.และได้รับคำยืนยันว่า จะต้องไม่มีปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นข่าวในขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องความไม่โปร่งใส ซึ่งเรื่องกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย และขอยืนยันว่า จะดูแลทุกอย่างให้โปร่งใส และคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้จะต้องถูกลงโทษและรับผิดชอบ
**วิชาชีพสธ.แย้งไม่ควรบีบ“วิทยา”ออก
นายไพศาล บางชวด นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า สมาคมฯขอเรียกร้องเกี่ยวกับการตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ. 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ไม่เห็นด้วยกับการบีบให้นายวิทยา ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเป็นการหนีปัญหาไม่ใช่แก้ปัญหา แต่ รมว.สธ.จะต้องอยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความโปร่งใส จนสามารถเอาผิดทางกฎหมายกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยจะต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นคนนอก ซึ่งมีความเป็นกลาง สังคมเชื่อถือและให้การยอมรับเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด
“การที่ตั้ง นพ.เสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรายการครุภัณฑ์ ไม่ได้ทำให้ความเคลือบแคลงใจของประชาชนหายไป เนื่องจากเป็นหนึ่งในผู้ที่อาจจะได้รับการพิจารณาแต่งตั้งให้เป็นรองปลัด สธ.ด้านบริหารที่รับผิดชอบโครงการไทยเข้มแข็งในอนาคต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเปิดทางให้คณะกรรมการที่เป็นคนนอกเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ และเปิดเผยความจริงโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนักการเมืองและข้าราชการ เพราะเรื่องนี้สะเทือนขวัญคนในวงการสาธารณสุขอย่างมาก และเรื่อง สธ.ที่อื้อฉาวในอดีตก็ยังคลุมเครืออยู่เกือบหมด”นายไพศาลกล่าว
**เสนอย้าย ขรก.ประจำพ้นทาง
นายไพศาล กล่าวอีกว่า 2.รมว.สธ.ต้องดำเนินมาตรการทางบริหารสำหรับข้าราชการประจำที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง โดยไม่ต้องรอผลสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการตรวจสอบแล้วเสร็จ ด้วยการย้ายหรือปรับผอ.สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์(สนย.) ผอ.สำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาค(สบภ.)และผู้อำนวยการสำนักบริหารโครงการไทยเข้มแข็งพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้คณะกรรมการเข้าตรวจสอบข้อมูลได้อย่างเต็มที่
นายกสมาคมวิชาชีพสาธารณสุข กล่าวด้วยว่า และ 3.ในส่วนของคณะกรรมการย่อยที่ทำหน้าที่ทบทวนรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างโครงการไทยเข้มแข็งทั้งหมด ควรให้มีผู้แทนจากวิชาชีพสาธารณสุขเข้าร่วมด้วยโดยเฉพาะในส่วนของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) เนื่องจากสมาชิกสมาคมฯส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในสถานีอนามัย(สอ.)เกือบ 1 หมี่นแห่ง และในฐานะที่เป็นองค์กรแรกที่ออกมาเปิดเผยความไม่ชอบมาพากลในขั้นตอนของการสำรวจความต้องการครุภัณฑ์ จากการที่ พญ.ศิริพร กัญชนะ อดีตรองปลัดสธ.ด้านบริหารลงนามในคำสั่งเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2552 ให้ สอ.ทำการแจ้งความต้องการรายการครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างเพียง 3 วัน และติดวันเสาร์ อาทิตย์ ซึ่งในส่วนของสิ่งก่อสร้าง เจ้าหน้าที่โยธาไม่สามารถทำการรับรองได้ทัน เท่ากับเป็นการเร่งรีบแบบผิดสังเกต และร้องให้มีการทบทวนรายการใหม่
“สมาคมฯออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เป็นการพิทักษ์และปกป้องผลประโยชน์ชาติและแผ่นดิน จึงอยากเรียกร้องให้คนที่เกี่ยวข้องทั้งที่เป็นนักการเมือง ข้าราชการประจำที่เกษียณอายุราชการแล้วหรือยังอยู่ในตำแหน่ง รับผิดชอบต่อสังคม”นายไพศาลกล่าว
**“วิทยา”ยันลาออกไม่ช่วยอะไร
ด้าน นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีแพทย์ชนบทเรียกร้องให้ รมว.และ รมช.สาธารณสุข แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้การตรวจสอบโครงการไทยเข้มแข็งของ สธ.เป็นไปอย่างโปร่งใสว่า ข้อเรียกร้องของแพทย์ชนบทไม่มีความชัดเจนว่า ต้องการให้แสดงสปิริตเพื่ออะไร ตนเป็นอุปสรรคในการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไร จะให้หาผู้ที่กระทำผิดหรือแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง อยากให้พูดออกมาตรงๆ เพราะฟังแล้วเข้าใจยาก และหากต้องการให้แก้ปัญหา การลาออกช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไร ซึ่งการเร่งหาหาผู้กระทำผิดก็เป็นการแสดงสปิริตเหมือนกัน
เมื่อถามถึงกรณีแพทย์ชนบทออกมาระบุว่า มีการสั่งการให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ลงพื้นที่ เพื่อเกลี่ยกล่อมให้ยอมรับครุภัณฑ์ในรายการที่ไม่ได้ขอไป นายวิทยา กล่าวว่า คงต้องถามคนที่ถูกพาดพิง เพราะไม่ทราบว่า ใครเป็นผู้สั่งการ หากระบุว่าเป็นหัวหน้าผู้ตรวจหรือปลัด สธ.ตนจะได้ถามความจริง
ส่วนที่ต้องเรียก นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบทมาหารือหรือไม่นั้น นายวิทยา กล่าวว่า นพ.เกรียงศักดิ์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการพิจารณา ทบทวนโครงการไทยเข้มแข็งอยู่แล้ว การให้เข้ามาคุยก็กลายเป็นว่าวิ่งเข้าไปขอเขาอีก ซึ่งไม่เหมาะสม แต่ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ตรงไปตรงมาที่สุดและให้แพทย์ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึง นพ.เกียรติศักดิ์ ที่สามารถทำหน้าที่ในการตรวจสอบได้
ต่อข้อถามว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการฯ จะสามารถชี้ตัวบุคคลที่กระทำผิดหรือไม่ นายวิทยากล่าวว่า ให้ถามคณะกรรมการตรวจสอบฯ ซึ่งคงต้องดูรายละเอียดข้อมูลก่อนว่า เป็นได้ข้อสรุปอย่างไรบ้าง ส่วนเรื่องการทาบทามคนนอกมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบฯ นั้น ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ ต้องรอผลการตรวจสอบที่ชัดเจนก่อน
**เรียกร้องคน สธ.ช่วยทำโปร่งใส
“ผมไม่หนักใจ ถึงแม้จะเหลือผมเพียงคนเดียว เพราะทีมที่ปรึกษาลาออกไปหมดแล้ว แต่หากที่สุดแล้วตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ควรมีสิทธิ์ที่จะกลับมากู้ชื่อเสียงและทำงานต่อไป”นายวิทยากล่าว
ต่อข้อถามว่า ได้หารือกับนายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข ต่อกรณีเรียกร้องให้มีการลาออกหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ทุกคนทั้งรัฐมนตรีช่วย ทีมที่ปรึกษาของรมช.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเป็นอย่างดี ส่วนการลาออกของทีมที่ปรึกษาของตน เป็นการตัดสินใจลาออกกันเอง ไม่มีใครขอให้ลาออก
วันเดียวกัน นายวิทยา ให้สัมภาษณ์ในการให้นโยบายต่อนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผอ.รพ.ชุมชน สาธารณสุขอำเภอ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่อยู่ใน 14 จังหวัดภาคใต้ว่า จากที่ สธ.ได้รับงบประมาณ และเกิดการวิพากษ์วิจารณ์โครงการไทยเข้มแข็ง โดยข้อร้องเรียนกรณีการจัดซื้อบางอย่างไม่โปร่งใส เกรงว่าจะเกิดการทุจริตคอรัปชั่น ขณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันแต่อย่างใด จึงจำเป็นที่ สธ.ต้องพิสูจน์ สะสางก่อนการก่อหนี้ หากมีการทุจริตจริงก็จะถูกดำเนินการทั้งทางกฎหมายและสังคม
ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบได้มอบหมายให้ปลัด สธ.ตั้งกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ให้มีการประชุมทุกวัน และได้เรียกร้องให้ชาวสาธารณสุขทำให้ สธ.โปร่งใส ยืนยันไม่มีใครมาล้มหรือยกเลิกโครงการไทยเข้มแข็งได้โดยเด็ดขาด แต่จะทำให้โครงการโปร่งใส เพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชน