“วิทยา” จี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หาข้อสรุป ใครโกงไทยเข้มแข็ง เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ไม่รู้ชัดเล็งตั้งคณะกรรมการคนนอก เผยมีอยู่ในใจแล้ว ไม่หวั่นฝ่ายค้านเสนอชื่อปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ด้าน “หมอไพจิตร์” ให้ยึดอัตตาหิ อัตตาโน นาโถ เตรียมฟื้นกองโรงพยาบาล-กองการสาธารณสุข คุมงาน รพ.ชุมชน รพ.ศูนย์/ทั่วไป สร้างตัวเชื่อมอาจให้ดูงบเอสพี 2 ขู่เอาผิดอาญาข้าราชการเอี่ยวทุจริต แม้จะเกษียณไปแล้ว
เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 5 ตุลาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปจากทั่วประเทศ ว่า ได้มอบนโยบายให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรค ที่มี นพ.เสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน เร่งดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และให้รายงานผลความคืบหน้าการตรวจสอบมายังตนทุกวัน
“เรื่องนี้สังคมให้ความสนใจสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์ทุกวัน หากผมไม่มีข้อมูลก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ ซึ่งผลการตรวจสอบต้องหาตัวการคนทำผิดให้ได้ อย่างไรก็ตาม หากการตรวจสอบไม่แล้วเสร็จตามที่กำหนด ผมจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบชุดใหม่ที่มีคนนอก สธ.มาตรวจสอบต่อทันที โดยได้เล็งบุคคลที่มีความเหมาะสมอยู่ในใจแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผย”นายวิทยากล่าว
ต่อข้อถามว่า จะมีตัวแทนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมในคณะกรรมการหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ไม่ขอตอบ
เมื่อถามว่ารู้สึกกังวลใจหรือไม่ที่เป็น 1 ใน 5 ของรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายค้านเสนอให้มีการปรับออกจากคณะรัฐมนตรี ว่า ตนไม่รู้สึกกังวลเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านเสนอให้ปรับครม. หากฝ่ายค้านมีอำนาจในการปรับ ครม.ได้ ผมคงโดนปรับออกจากตำแหน่งนานแล้ว เพราะถูกจ้องจับผิดมาตั้งแต่เรื่องการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
“ปัญหาเรื่องทุจริตที่เกิดขึ้น ผมได้รายงานให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทราบเป็นระยะๆ ซึ่งท่านทราบว่าผมทำอะไรอยู่ และท่านก็ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษเพราะมั่นใจว่าตนจะสามารถแก้ไขปัญหาและสามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ ซึ่งขณะนี้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเรื่องทั้งหมดแล้ว โดยผมจะจี้ให้คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นเดินหน้าตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาลอยๆ ซึ่งผลการตรวจสอบออกมมาเป็นอย่างไร คงไม่ต้องรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีรับทราบ เพราะเป็นขั้นตอนของการจัดทำงบประมาณที่ต้องประสานกับสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลังโดยตรงอยู่แล้ว”นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวตอนหนึ่งกับ ผอ.โรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปด้วยว่า นับตั้งแต่วันนี้ หากมีสิ่งใดที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ถูกต้องให้แจ้งมายังคณะพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง ได้ทันที หากมีใครอ้างว่ารัฐมนตรีส่งมา ไม่ว่าจะเป็นญาติ เป็นหน้าห้อง หรือที่ปรึกษา ก็ต้องแจ้งมาเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และให้มีความโปร่งใสในการดำเนินการโครงการไทยเข้มแข็งให้มากที่สุด
ด้านนพ.ไพจิตร์ วราชิต รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวในการมอบนโยบายให้นพ.สสจ. ผอ.รพ.ศูนย์/ทั่วไป ว่า การดำเนินการภายใต้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งต้องมีความโปร่งใส ซึ่งในช่วงของการจัดทำงบประมาณตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการนี้เลย แต่รมว.สธ.ให้นโยบายตั้งแต่แรกแล้วว่าให้มีการกระจายการจัดซื้อไปยังส่วนภูมิภาค ดังนั้น หากมีการทุจริตเกิดขึ้น ต้องยึดพุทธศาสนาสุภาษิต อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ
นพ.ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า ตนมีแนวคิดจะรื้อฟื้นกองโรงพยาบาล ที่ทำหน้าที่ดูแล สสจ.โรงพยาบาลชุมชน และสถานีอนามัยและกองการสาธารณสุข ที่รับผิดชอบโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไปขึ้นมาใหม่ เพื่อทำหน้าที่รับเรื่องการบริหารงานจากส่วนภูมิภาคกลับมากลั่นกรอง วิเคราะห์ก่อนนำเสนอเชิงนโยบายให้กับผู้บริหาร สธ.เนื่องจากที่ผ่านมา สธ.ไม่มีหน่วยงานที่เป็นจุดประสานงานกับหน่วยงานในภูมิภาคที่ชัดเจน ส่วนทั้งสองกองนี้จะอยู่ภายใต้สำนักบริหารงานส่วนภูมิภาค(สบภ.)และรับผิดชอบงบประมาณในโครงการไทยเข้มแข็งหรือไม่จะต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
“หากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่มีการร้องเรียน ซึ่งมี นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงเป็นประธาน พบว่ามีข้าราชการสังกัดสธ.ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเตรียมการทุจริต แม้ทางวินัยไม่สามารถเอาผิดได้แต่ต้องไปพิจารณาในส่วนของกฎหมายอาญาว่าจะเอาผิดได้หรือไม่”นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ด้านนพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กล่าวว่า การทำคำขอของโครงการไทยเข้มแข็ง จะมีเจ้าภาพและกลไกการทำคำขอ โดยมีรองปลัดด้านบริหารเป็นประธาน มีผู้ตรวจ ผู้อำนวยการสำนัก และกรมที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ มีผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์เป็นเลขา การเสนอโครงการต่างๆจะมีเจ้าภาพเป็นผู้รวบรวมคำขอ วิเคราะห์ความเหมาะสม เช่น กรณีศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น ศูนย์หัวใจ มะเร็ง อุบัติเหตุ มีคณะกรรมการของแต่ละศูนย์ดูการวางสิ่งก่อสร้างและครุภัณฑ์ โครงการระดับโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป มีสำนักบริการสาธารณสุขภูมิภาคเป็นเจ้าภาพรวบรวมคำขอจากจังหวัดผ่านการกลั่นกรองของผู้ตรวจราชการแต่ละเขตแล้วมานำเสนอ
“สำหรับโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) มีสำนักพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิร่วมกับสำนักบริหารสาธารณสุขภูมิภาคเป็นเจ้าภาพ โครงการผลิตและพัฒนาบุคลากร มีสถาบันพระบรมราชชนกเป็นเจ้าภาพ และระบบข้อมูลข่าวสาร มีสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์เป็นเจ้าภาพ โดยจะดูที่ความต้องการ ความจำเป็นในการพัฒนาระบบบริการ มีความเชื่อมโยงเป็นระบบ ไม่แยกว่าเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก โรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือสถานีอนามัยให้สอดคล้องกับนโยบาย”นพ.ศุภกิจ กล่าว
นพ.ศุภกิจ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของโรงพยาบาลชุมชนที่มี 235 แห่งได้กำหนดวงเงินจำนวน 13,495 ล้านบาท และโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปที่มี 94 แห่ง และโรงพยาบาลในสังกัดกรมการแพทย์อีก 4 แห่ง ได้กำหนดวงเงินให้ 20,796 ล้านบาท และเนื่องจากโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปเน้นบริการในระดับสูง มีต้นทุนตึกขนาดใหญ่ เครื่องมือมีความซับซ้อนมากกว่าโรงพยาบาลชุมชน ซึ่งที่ผ่านมาโรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้รับงบสำหรับลงทุนน้อยมาก เพราะงบลงทุนทดแทนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่สามารถนำไปสร้างอาคารขนาดใหญ่และซื้อเครื่องมือราคาสูง
ทั้งนี้ หากรวมงบประมาณในโครงการสนับสนุนบริการ เช่น อาคารที่พักแพทย์พยาบาล ซึ่งจัดสรรให้กับโรงพยาบาลชุมชน 5,188 ล้านบาท ขณะที่โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไปได้รับจัดสรร 1,036 ล้านบาท ก็จะเห็นว่าวงเงินร่วมไม่มีความแตกต่างกันมากนัก