การเมืองใหม่ที่ชาวพันธมิตรฯ กำลังนำมวลมหาชนชาวไทยร่วมกันสร้าง ขับเคลื่อนอยู่ในบริบทของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การจะเข้าถึงแก่นแท้ของการเมืองใหม่ สามารถทำได้ด้วยการลำดับความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ แล้วดึงเอาเหตุปัจจัยหรือตัวกำหนดแก่นแกนที่แสดงบทบาทเป็น “พระเอก” ออกมา
เหตุปัจจัยหรือตัวกำหนดแก่นแกนที่แสดงบทบาทเป็น “พระเอก” นี้เอง คือตัวกำหนดคุณลักษณะหรือ “แก่นแท้” ของการเมืองไทย
(เริ่มต้นแห่งอดีต) – จากการเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในปี พ.ศ. 2475
แก่นแท้ของการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อำนาจกำหนดมาจากเบื้องบน โดยมีอำนาจของมหาอำนาจโลกเข้าแทรกแซง กำกับและบงการ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง อำนาจอยู่ในอุ้งมือของกลุ่มทหาร โดยมีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นตัวแทน (มหาอำนาจที่มีบทบาทแทรกแซง กำกับ บงการ ก็คือ ญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อำนาจปกครองตกอยู่ในมือของขุนทหาร ทั้งในห้วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นรัฐบาล และหลังจากนั้น (สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนกระทั่งนำไปสู่การกระทำรัฐประหาร นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. ในปี พ.ศ.2500)
อำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จของฝ่ายทหารสิ้นสุดลงในปี 2516 ด้วยการต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ประกอบไปด้วยนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจากทุกวงการและสาขาอาชีพ เปิดช่องให้กลุ่มทุนพ่อค้าเดินหน้าเข้าสู่เวทีการเมืองในรูปการเมืองเลือกตั้ง อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” อำนาจกำหนดจากเบื้องบน เป็นผลสะท้อนการผสมผสานกันของอำนาจจารีตกับอำนาจกลุ่มทุน
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ประกาศการสิ้นสุดลงของอำนาจทหารเหนือการเมือง การเมืองประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค “ประชาธิปไตยเต็มใบ” อำนาจการเมืองกระจายตัวไปสู่กลุ่มพ่อค้านายทุน เจ้าพ่อ และผู้มากบารมีในทุกระดับของสังคมไทย การเมืองกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม มีการซื้อ-เซ้ง-ขายกันทั่วไป ส่งเสริมให้กลุ่มพ่อค้านายทุนพัฒนาไปสู่ความเป็นทุนสามานย์ คืออิงอำนาจการเมืองสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง การเมืองกลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินของกลุ่มทุนที่รวมตัวกันเข้าแก่งแย่งกันครองอำนาจ ด้วยวิธีการซื้อเสียง ใช้เวทีเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน ถือเอาผลการเลือกตั้งเป็นคำตอบสุดท้าย
การขับเคลื่อนของการเมืองในระยะนี้สามารถดำเนินไปในกรอบการแสวงและแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างลงตัวในระหว่างกลุ่มทุนทั้งใหญ่และเล็ก
จนกระทั่งเกิดวิกฤตค่าเงินบาทในกลางปี 2540 กลุ่มทุนดั้งเดิมทั้งใหญ่และเล็กต่างประสบความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กลุ่มทุนในเครือข่ายบริษัทชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรผงาดขึ้นแทนที่ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโครงสร้างอำนาจกำหนดจากส่วนบน โดยกลุ่มทุนใหม่ นำโดยกลุ่มชินวัตร ฉวยโอกาสจากวิกฤต สถาปนาอำนาจธุรกิจเหนือการเมืองแบบเบ็ดเสร็จ แล้วใช้อำนาจการเมืองสร้างอาณาจักรธุรกิจกลุ่มตนอย่างโจ่งแจ้ง หวังรวบหัวรวบหางผูกขาดประเทศไทยไว้ในอุ้งมือตน มุ่งดำเนินเผด็จการรัฐสภา ดำเนินการเลือกตั้งแบบฉ้อฉล กอบโกยคะแนนเสียง แล้วใช้คะแนนเสียงที่ได้เป็นตัวประกัน ครอบงำกลไกรัฐ จัดการ “ปฏิรูป” ระบบราชการไปตามเจตนารมณ์ของตน ยืนยันที่จะครองอำนาจไปชั่วกาลปาวสาน โดยปิดโอกาสฝ่ายอื่นๆเข้าถึงกลไกอำนาจอย่างสิ้นเชิง ผลักดันให้การเมืองไทยตกลงสู่หุบเหววิกฤตแบบเฉียบพลัน
ด้านหนึ่ง เกิดแรงต้านจากกลุ่มอำนาจดั้งเดิมผู้ไม่ยอมจำนนอย่างรุนแรงและเปิดเผย
อีกด้านหนึ่ง เกิดแรงต้านจากกลุ่มชนจากทุกสาขาอาชีพที่ถูกทุนนิยมสามานย์คุกคาม ที่โดดเด่นที่สุดก็คือกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
การเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจกลุ่มทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ ได้ปลุกกระแสความตื่นตัวทางการเมืองอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งสังคมไทย มวลมหาชนชาวไทยที่เคยหลับใหลและสิ้นหวังต่างพากันหูตาสว่าง พากันเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านการผูกขาดอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
วิกฤตเชิงโครงสร้างของอำนาจกำหนดจากเบื้องบนเช่นนี้ ได้เปิดช่องโอกาสให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่แรกเริ่มเดิมทีเพียงมุ่งหมายเข้ามีบทบาทและส่วนร่วมโดยตรงในการใช้อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น สามารถรวมตัวกันเข้า ประกาศก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 นำขบวนการการเมืองภาคประชาชนเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในระบอบทักษิณ ผนึกกำลังร่วมกับทุกฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจการเมืองในระบอบทักษิณ เปิดโปงระบอบทักษิณ ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร 19 ก.ย.49
ความเพลี่ยงพล้ำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลายเป็นความหวังของมวลมหาชนชาวไทยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากการเมืองเก่าที่อำนาจกำหนดมาจากเบื้องบน โดยกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ในสังคมไทย มาเป็นการเมืองใหม่ที่ อำนาจกำหนดมาจากเบื้องล่าง โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็น “เจ้าภาพ”
ด้วยเหตุนี้ เพียงไม่กี่วันหลังจากวันที่ 25 พ.ค.2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดชุมนุมใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์การต่อสู้ทางการเมืองครั้งสำคัญว่า เพื่อขับไข่รัฐบาลหุ่นเชิด โค่นล้มระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า และสร้างการเมืองใหม่ นับเป็นการกำหนดทิศทางการต่อสู้ทางการเมืองที่มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์สูงสุด นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
การประกาศจุดหมายปลายทางของการต่อสู้ว่า เพื่อสร้างการเมืองใหม่ ได้รับเสียงขานรับจากมวลมหาชนอย่างกว้างขวาง ทำให้การเคลื่อนไหวต่อสู้โค่นล้มอำนาจในระบอบทักษิณดำเนินไปอย่างคึกคัก เข้มแข็ง ได้รับการสนับสนุนจากทุกทิศทาง และสามารถประกาศชัยชนะได้อย่างงดงามในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 สิ้นสุดการต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วัน
กระนั้น กลุ่มการเมืองเก่า ทั้งในและนอกระบอบทักษิณที่ยังเข้มแข็งอยู่ ต่างพากันหาทางรักษาไว้ซึ่งอำนาจการเมืองเก่า เพื่อให้อำนาจกำหนดจากเบื้องบนทำงานต่อไป โดยขุนทหารส่วนหนึ่ง สมคบกับกลุ่มการเมืองที่แตกออกไปจากระบอบทักษิณจำนวนหนึ่ง ร่วมกันสถาปนา “รัฐบาลในฝัน” เชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำพาประเทศไทยเดินไปบนเส้นทางการเมืองเก่าต่อไป
(ไม่จำนนปัจจุบัน) -- ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ ให้สามารถต่อสู้ได้ดีในทุกขั้นตอน ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา โดยในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 ประกาศก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้เอาชนะการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่
(ยึดมั่นอนาคต) – อนาคตอันดีงามของมวลมหาชนชาวไทย ไม่ใช่ความฝันที่ใครจะมายัดเยียดให้ หรือจะมีใครมาทำแทนได้ แต่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากการกระทำของมวลมหาชนชาวไทย การเมืองใหม่ที่อำนาจกำหนดมาจากเบื้องล่าง คือสิ่งที่คนไทยถวิลหา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความลำบากยากจน และพาชาติไทยโดยรวมหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์
การเมืองใหม่ เป็นการเมืองของประชาชน ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจึงเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ของมวลมหาชน สามารถใช้แก้ไขปัญหาคนส่วนใหญ่ได้จริง
ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน การเมืองใหม่ที่มีอำนาจของประชาชนเป็นตัวกำหนด สามารถสร้างขึ้นได้ในประเทศไทย
1) ด้วยพลังร่วมกันของมวลมหาชนชาวไทย ในรูปขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ
2) ด้วยสันติวิธี
3) ด้วยวิถีทางเลือกตั้ง
เหตุปัจจัยหรือตัวกำหนดแก่นแกนที่แสดงบทบาทเป็น “พระเอก” นี้เอง คือตัวกำหนดคุณลักษณะหรือ “แก่นแท้” ของการเมืองไทย
(เริ่มต้นแห่งอดีต) – จากการเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในปี พ.ศ. 2475
แก่นแท้ของการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 อำนาจกำหนดมาจากเบื้องบน โดยมีอำนาจของมหาอำนาจโลกเข้าแทรกแซง กำกับและบงการ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม
ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง อำนาจอยู่ในอุ้งมือของกลุ่มทหาร โดยมีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นตัวแทน (มหาอำนาจที่มีบทบาทแทรกแซง กำกับ บงการ ก็คือ ญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ)
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อำนาจปกครองตกอยู่ในมือของขุนทหาร ทั้งในห้วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นรัฐบาล และหลังจากนั้น (สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนกระทั่งนำไปสู่การกระทำรัฐประหาร นำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป. ในปี พ.ศ.2500)
อำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จของฝ่ายทหารสิ้นสุดลงในปี 2516 ด้วยการต่อสู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่ประกอบไปด้วยนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจากทุกวงการและสาขาอาชีพ เปิดช่องให้กลุ่มทุนพ่อค้าเดินหน้าเข้าสู่เวทีการเมืองในรูปการเมืองเลือกตั้ง อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุค “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” อำนาจกำหนดจากเบื้องบน เป็นผลสะท้อนการผสมผสานกันของอำนาจจารีตกับอำนาจกลุ่มทุน
เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ประกาศการสิ้นสุดลงของอำนาจทหารเหนือการเมือง การเมืองประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุค “ประชาธิปไตยเต็มใบ” อำนาจการเมืองกระจายตัวไปสู่กลุ่มพ่อค้านายทุน เจ้าพ่อ และผู้มากบารมีในทุกระดับของสังคมไทย การเมืองกลายเป็นสมบัติผลัดกันชม มีการซื้อ-เซ้ง-ขายกันทั่วไป ส่งเสริมให้กลุ่มพ่อค้านายทุนพัฒนาไปสู่ความเป็นทุนสามานย์ คืออิงอำนาจการเมืองสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง การเมืองกลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินของกลุ่มทุนที่รวมตัวกันเข้าแก่งแย่งกันครองอำนาจ ด้วยวิธีการซื้อเสียง ใช้เวทีเลือกตั้งเป็นตัวตัดสิน ถือเอาผลการเลือกตั้งเป็นคำตอบสุดท้าย
การขับเคลื่อนของการเมืองในระยะนี้สามารถดำเนินไปในกรอบการแสวงและแบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างลงตัวในระหว่างกลุ่มทุนทั้งใหญ่และเล็ก
จนกระทั่งเกิดวิกฤตค่าเงินบาทในกลางปี 2540 กลุ่มทุนดั้งเดิมทั้งใหญ่และเล็กต่างประสบความเสียหายอย่างหนัก ขณะที่กลุ่มทุนในเครือข่ายบริษัทชินวัตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรผงาดขึ้นแทนที่ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโครงสร้างอำนาจกำหนดจากส่วนบน โดยกลุ่มทุนใหม่ นำโดยกลุ่มชินวัตร ฉวยโอกาสจากวิกฤต สถาปนาอำนาจธุรกิจเหนือการเมืองแบบเบ็ดเสร็จ แล้วใช้อำนาจการเมืองสร้างอาณาจักรธุรกิจกลุ่มตนอย่างโจ่งแจ้ง หวังรวบหัวรวบหางผูกขาดประเทศไทยไว้ในอุ้งมือตน มุ่งดำเนินเผด็จการรัฐสภา ดำเนินการเลือกตั้งแบบฉ้อฉล กอบโกยคะแนนเสียง แล้วใช้คะแนนเสียงที่ได้เป็นตัวประกัน ครอบงำกลไกรัฐ จัดการ “ปฏิรูป” ระบบราชการไปตามเจตนารมณ์ของตน ยืนยันที่จะครองอำนาจไปชั่วกาลปาวสาน โดยปิดโอกาสฝ่ายอื่นๆเข้าถึงกลไกอำนาจอย่างสิ้นเชิง ผลักดันให้การเมืองไทยตกลงสู่หุบเหววิกฤตแบบเฉียบพลัน
ด้านหนึ่ง เกิดแรงต้านจากกลุ่มอำนาจดั้งเดิมผู้ไม่ยอมจำนนอย่างรุนแรงและเปิดเผย
อีกด้านหนึ่ง เกิดแรงต้านจากกลุ่มชนจากทุกสาขาอาชีพที่ถูกทุนนิยมสามานย์คุกคาม ที่โดดเด่นที่สุดก็คือกลุ่มหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
การเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจกลุ่มทุนนิยมสามานย์ในระบอบทักษิณ ได้ปลุกกระแสความตื่นตัวทางการเมืองอย่างรวดเร็วไปทั่วทั้งสังคมไทย มวลมหาชนชาวไทยที่เคยหลับใหลและสิ้นหวังต่างพากันหูตาสว่าง พากันเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านการผูกขาดอำนาจของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ
วิกฤตเชิงโครงสร้างของอำนาจกำหนดจากเบื้องบนเช่นนี้ ได้เปิดช่องโอกาสให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่แรกเริ่มเดิมทีเพียงมุ่งหมายเข้ามีบทบาทและส่วนร่วมโดยตรงในการใช้อำนาจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น สามารถรวมตัวกันเข้า ประกาศก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2549 นำขบวนการการเมืองภาคประชาชนเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจเผด็จการในระบอบทักษิณ ผนึกกำลังร่วมกับทุกฝ่ายที่ต่อต้านอำนาจการเมืองในระบอบทักษิณ เปิดโปงระบอบทักษิณ ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนกระทั่งนำไปสู่การรัฐประหาร 19 ก.ย.49
ความเพลี่ยงพล้ำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทย ทำให้ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลายเป็นความหวังของมวลมหาชนชาวไทยที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย จากการเมืองเก่าที่อำนาจกำหนดมาจากเบื้องบน โดยกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ในสังคมไทย มาเป็นการเมืองใหม่ที่ อำนาจกำหนดมาจากเบื้องล่าง โดยขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็น “เจ้าภาพ”
ด้วยเหตุนี้ เพียงไม่กี่วันหลังจากวันที่ 25 พ.ค.2551 ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจัดชุมนุมใหญ่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศเจตนารมณ์การต่อสู้ทางการเมืองครั้งสำคัญว่า เพื่อขับไข่รัฐบาลหุ่นเชิด โค่นล้มระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า และสร้างการเมืองใหม่ นับเป็นการกำหนดทิศทางการต่อสู้ทางการเมืองที่มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์สูงสุด นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
การประกาศจุดหมายปลายทางของการต่อสู้ว่า เพื่อสร้างการเมืองใหม่ ได้รับเสียงขานรับจากมวลมหาชนอย่างกว้างขวาง ทำให้การเคลื่อนไหวต่อสู้โค่นล้มอำนาจในระบอบทักษิณดำเนินไปอย่างคึกคัก เข้มแข็ง ได้รับการสนับสนุนจากทุกทิศทาง และสามารถประกาศชัยชนะได้อย่างงดงามในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 สิ้นสุดการต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วัน
กระนั้น กลุ่มการเมืองเก่า ทั้งในและนอกระบอบทักษิณที่ยังเข้มแข็งอยู่ ต่างพากันหาทางรักษาไว้ซึ่งอำนาจการเมืองเก่า เพื่อให้อำนาจกำหนดจากเบื้องบนทำงานต่อไป โดยขุนทหารส่วนหนึ่ง สมคบกับกลุ่มการเมืองที่แตกออกไปจากระบอบทักษิณจำนวนหนึ่ง ร่วมกันสถาปนา “รัฐบาลในฝัน” เชิดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำพาประเทศไทยเดินไปบนเส้นทางการเมืองเก่าต่อไป
(ไม่จำนนปัจจุบัน) -- ขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปรับยุทธศาสตร์การต่อสู้ ให้สามารถต่อสู้ได้ดีในทุกขั้นตอน ทั้งในและนอกระบบรัฐสภา โดยในวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 ประกาศก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่อย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้เอาชนะการเมืองเก่า สร้างการเมืองใหม่
(ยึดมั่นอนาคต) – อนาคตอันดีงามของมวลมหาชนชาวไทย ไม่ใช่ความฝันที่ใครจะมายัดเยียดให้ หรือจะมีใครมาทำแทนได้ แต่จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากการกระทำของมวลมหาชนชาวไทย การเมืองใหม่ที่อำนาจกำหนดมาจากเบื้องล่าง คือสิ่งที่คนไทยถวิลหา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือพาตัวเองให้หลุดพ้นจากความลำบากยากจน และพาชาติไทยโดยรวมหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์
การเมืองใหม่ เป็นการเมืองของประชาชน ประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นจึงเป็นประชาธิปไตยของประชาชน ของมวลมหาชน สามารถใช้แก้ไขปัญหาคนส่วนใหญ่ได้จริง
ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน การเมืองใหม่ที่มีอำนาจของประชาชนเป็นตัวกำหนด สามารถสร้างขึ้นได้ในประเทศไทย
1) ด้วยพลังร่วมกันของมวลมหาชนชาวไทย ในรูปขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ
2) ด้วยสันติวิธี
3) ด้วยวิถีทางเลือกตั้ง