xs
xsm
sm
md
lg

คดีหวยบนดิน : บทเรียนสำหรับครม.

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว พร้อมด้วยองค์คณะผู้พิพากษารวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 คณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาลทักษิณเป็นจำเลยที่ 2-30 และคณะผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลยที่ 31-47 ในฐานความผิดดังต่อไปนี้

1. เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อหรือจัดการทรัพย์ ได้เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของคนอื่นโดยทุจริต (ยักยอก)

2. เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการดูแลกิจการ เข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อผลประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น

3. เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จ่ายทรัพย์ จ่ายเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น

4. เป็นเจ้าพนักงานที่แสดงว่ามีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากร เรียกเก็บโดยทุจริตหรือละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากร

5. เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด

ตามประมวลกฎหมายอาญา 147, 152, 153, 154, 157 ประกอบมาตรา 83, 84, 86, 90, 91 และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 9, 10

ในการฟ้อง ป.ป.ช.ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 47 คนตามกฎหมาย พร้อมทั้งขอให้มีคำสั่งให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันคืนหรือใช้ทรัพย์ที่จำเลยทั้งหมดร่วมกันมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินซึ่งเป็นรายได้จากการออกสลากของสำนักงานสลากฯ ซึ่งเป็นผู้เสียหายรวมจำนวน 14,862,865.94 บาท และขอให้นับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 จากคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ซึ่งศาลได้ตัดสินลงโทษจำคุก 2 ปีด้วย

จากคำฟ้องที่ ป.ป.ช.ได้ยื่นต่อศาลจะเห็นได้ว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเพื่อให้ศาลพิพากษาลงโทษ ทั้งทางอาญา และทางแพ่ง

แต่ผลจากการพิจารณาของตุลาการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรากฏว่าในจำนวนจำเลย 46 คน เว้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งศาลสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยหลบหนีออกนอกประเทศ ไม่มาฟังคำพิพากษาในคดีก่อนหน้านี้แล้ว มีจำเลยเพียง 3 คนเท่านั้นที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษ และ 3 คนที่ว่านี้ก็คือ

1. ให้จำคุกจำเลยที่ 10 นายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 20,000 บาท

2. ให้จำคุกจำเลยที่ 31 นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานบอร์ดกองสลาก เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 10,000 บาท

3. ให้จำคุกจำเลยที่ 42 นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 10,000 บาท

พร้อมกันนี้ได้ออกหมายจับจำเลยที่ไม่มาฟังคำพิพากษา 4 คน คือ

1. จำเลยที่ 21 นายอดิศัย โพธารามิก รมว.พาณิชย์

2. จำเลยที่ 9 ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง

3. จำเลยที่ 43 พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ผอ.กองสลากฯ

4. จำเลยที่ 31 นายสมใจนึก เองตระกูล ปลัดกระทรวงการคลัง และประธานบอร์ดกองสลาก

หลังจากที่คำพิพากษาของศาลได้ปรากฏเป็นข่าวออกมา ได้มีเสียงสะท้อนในสังคมทั้งในส่วนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ให้ความเคารพในคำพิพากษาของศาลในฐานะเป็นสถาบันยุติธรรม อันเป็นองค์กรหลักประการหนึ่งในระบอบประชาธิปไตย

ในส่วนที่เห็นด้วยก็ให้เหตุผลว่า ถ้าสถาบันตุลาการเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขและป้องกันปัญหาทุจริต คอร์รัปชันได้มากขึ้น และให้ความเป็นธรรมแก่ผู้คนในสังคมภายใต้กรอบแห่งกฎหมายได้มากยิ่งขึ้นเท่าใด ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันจากนักการเมืองด้วยการปฏิวัติรัฐประหารก็จะน้อยลงและหมดไปในที่สุด

ส่วนที่ไม่เห็นด้วยก็เพียงแต่รู้สึกน้อยใจที่ศาลลงโทษสถานเบา เมื่อเทียบกับความผิดปัจเจกบุคคลทั่วไปกระทำผิดในคดีอาญาในข้อหาปล้นทรัพย์ หรือฉ้อโกงที่จำนวนเงินน้อยกว่าแต่ต้องติดคุก ดังที่เคยเกิดขึ้นกับแม่ลูกอ่อนขโมยของเล็กน้อยเพียงเพื่อนำไปเลี้ยงลูกแต่ต้องติดคุก เป็นต้น

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คนไทยทุกคนก็ควรจะต้องให้ความเคารพต่อสถาบันศาลที่พิจารณาพิพากษาภายใต้กฎหมาย และการให้ความเคารพเช่นนี้ ถ้ามีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นว่าสถาบันตุลาการมีความเข้มแข็ง และมีความเป็นอิสระอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อได้ว่าประเทศไทยก็มีความสงบและร่มเย็นไม่แพ้ประเทศใดในโลก

แต่ก่อนที่จะถึงจุดนี้ ก็ควรอย่างยิ่งที่คนไทยทุกคนจะต้องอดทน และใส่ใจต่อปัญหาบ้านเมือง ด้วยการช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลพฤติกรรมของนักการเมืองให้อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย และศีลธรรมมากยิ่งขึ้น และถ้าพบว่านักการเมืองคนใดจากพรรคใดเดินออกนอกลู่นอกทางแห่งกฎหมาย และศีลธรรมก็จะต้องช่วยกันไล่ออกไปให้พ้นทางด้วยการไม่เลือกเข้ามาให้มีโอกาสแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบเป็นการเพิ่มภาระให้สถาบันตุลาการต้องมาไล่จับผิด และลงโทษดังที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมา

ครม.ที่ร่วมกันอนุมัติไม่ผิดร่วมกัน แต่ผิดเพียงบางคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ชาวบ้านมองแล้วค้านต่อความรู้สึก แต่ทำไมในแง่ของนักกฎหมายจึงมองสวนทางกัน?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าอ่านจากคำพิพากษาแล้วจะพบว่าศาลท่านมองประเด็นเจตนา และความรีบด่วนในการพิจารณาอนุมัติของ ครม.มาประกอบการพิจารณา จะเห็นได้จากการเสนอเรื่องนี้เข้า ครม.กระทำกันเร่งด่วน ไม่ผ่านเลขาธิการ ครม.และรองนายกรัฐมนตรีเพื่อกลั่นกรองเป็นวาระพิเศษ ครม.จึงไม่น่าจะทราบรายละเอียด เป็นต้น

อีกประการหนึ่ง ถ้ามองจากคำพิพากษาลงโทษจำเลย 3 คนซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานของกองสลาก จึงอนุมานได้ว่ารู้รายละเอียดดีกว่าผู้เข้าร่วมประชุม ครม.อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม จากคดีหวยบนดินที่มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ได้ให้บทเรียนแก่นักการเมืองไม่น้อย ในประเด็นที่ว่าถ้าเป็นเจ้าของในเรื่องใดก่อนที่จะนำเสนอเข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติ จะต้องมีความละเอียดรอบคอบในแง่ของกฎหมายและผลประโยชน์ได้เสียในแง่ของการลงทุนว่าคุ้มหรือไม่คุ้มก่อนที่จะนำเสนอ

อย่าคิดเพียงว่า ครม.อนุมัติแล้วเป็นการประทับตราผ่าน ไม่ทำให้ตนเองต้องรับผิด หรือบางคนอาจมองเลยไปกว่านี้ว่า ถ้าจะต้องผิดก็มีเพื่อนร่วมความผิดทั้งครม. ขอให้เลิกคิดได้นับตั้งแต่ได้ยินได้ฟังคำพิพากษาคดีหวยบนดินเป็นต้นไป เพราะนี่คือบรรทัดฐานของการเป็นรัฐมนตรีว่าควรจะรู้อะไรบ้าง และไม่ควรทำอะไรบ้าง ถ้าไม่ต้องการติดคุกให้เสียชื่อเสียงของตนเองและวงศ์ตระกูล
กำลังโหลดความคิดเห็น