xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊กจิ๋ว “...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
แล้ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธก็กลับเข้าพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง หลังจากนำพรรคความหวังใหม่ไปควบรวมกับพรรคไทยรักไทย รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แล้วก็ลาออกมา กลับเข้าไปเป็นรองนายกรัฐมนตรีในพรรคพลังประชาชนอีกครั้งช่วงสั้น ๆ แล้วก็ลาออกมา ทั้ง 2 ครั้งหากทบทวนดูให้ดีจะเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเจ้าของพรรคหลายชื่อหลายยุคพรรคนี้ตัวจริงเสียงจริงไม่ได้ให้ค่าให้ราคาให้บทบาทให้ความสำคัญกับท่านเท่าไรนัก

ไม่รู้ว่าครั้งนี้เจ้าของสมญาบิ๊กจิ๋วจะเข้าไปเป็นอะไรในที่สุด จะได้เป็นหัวหน้าพรรคมั้ย และสำคัญที่สุดคือจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสักครั้งมั้ย

ผมเคยเขียนถึงบิ๊กจิ๋ว ณ ที่นี้ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2551 หลังครบรอบวันเกิดปีที่ 76 ปีของท่านหมาด ๆ ภายใต้หัวเรื่องที่เข้ากับยุคเข้ากับสมัย

“ขบวนการสาธารณรัฐ ล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า”

หัวเรื่องข้างต้นไม่ใช่สำนวนผม แต่เป็นสำนวนบิ๊กจิ๋วเองในงานเขียนที่พิมพ์เป็นเล่มแจกในวันครบรอบวันเกิด 76 ปีของท่านเมื่อ 15 พฤษภาคม 2551 โดยส่วนหนึ่งนำไปตีพิมพ์ใน นสพ.บางกอกทูเดย์ของคุณเผด็จ ภูรีปฏิภาณฉบับลงวันที่วันเดียวกันแต่จริงๆ แล้ววางแผงก่อนหน้า 1 วัน

ผมเขียนบอกเล่าไปในครั้งนั้นว่าบิ๊กจิ๋วผู้นี้ใครจะชอบหรือจะชังท่านเมื่อมาเล่นการเมือง โดยเฉพาะเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วกลับมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ก็เรื่องหนึ่ง แต่คงไม่มีใครปฏิเสธบทบาทของท่านสมัยเมื่อเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก และเสนาธิการทหารบก มีบทบาททางการทหารอยู่เบื้องหลังในความอยู่รอดปลอดภัยของชาติหลายครั้ง และเป็นหนึ่งในมือทำงานของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2523 อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของการยุติสงครามกลางเมืองกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) โดยมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้เกิดคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 และ 65/2525

เมื่อคนที่รู้จักและเข้าใจคอมมิวนิสต์อย่างดียิ่งคนนี้มาเขียนบทความแจกจ่ายในงานวันเกิดตัวเองอย่างนี้จะไม่ให้กล่าวถึงได้อย่างไร

บิ๊กจิ๋วเขียนไว้ในคำปรารภยกย่องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และกล่าวไว้ว่าเป็นความจำเป็นและความสำคัญสูงสุดที่ประเทศไทยจะต้องมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขไปตลอดกาล แต่....

“มีกลุ่มบุคคลผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมแทนอย่างเต็มที่ โดยพยายามใช้วิธีการต่างๆ เช่น ชุบตัวในสถาบันวิชาการ เข้าร่วมทำเศรษฐกิจทุนนิยม เข้าร่วมถืออำนาจรัฐ ยุยงให้ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายทุนทำผิดให้มากๆ...

“ปัจจุบันมีขบวนการบ่อนทำลายประเทศ โดยใช้ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นเครื่องมือดำเนินยุทธวิธีแนวร่วม เพื่อก่อสงครามกลางเมือง เพื่อเปลี่ยนรูปของประเทศจากราชอาณาจักรไปสู่สาธารณรัฐ โดยใช้รัฐธรรมนูญเป็นอาวุธหลัก...”


มิอาจไม่รับฟัง มิอาจปล่อยให้ผ่านเลย!

ไม่ว่าบิ๊กจิ๋วจะเขียนไปเพื่ออะไร มีวัตถุประสงค์ “ระหว่างบรรทัด” แฝงเร้นใดอย่างไรหรือไม่ในวันนั้น

ผมให้ความเห็นไปในข้อเขียนเมื่อปีเศษ ๆ ที่ผ่านมาว่า บิ๊กจิ๋วเป็นคนฉลาด หูตาปราดเปรียว จมูกไว มีการเมืองอยู่ในสายเลือด และยังคงมีความหวังอยู่เสมอว่าอาจจะมีโอกาสได้รับใช้ชาติอีกสักครั้ง เมื่อต้นปี 2549 ขณะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านก็เข้าไปใกล้ชิดกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์อีกครั้ง ถึงระดับแต่งเครื่องแบบทหารร่วมเดินสายกับนายเก่าอยู่บ้าง และเมื่อเกิดกรณีมาตรา 7 ขึ้นมา ท่านก็เตรียมตัวแถลงข่าวสำคัญในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงขนาดนัดวันแล้ว แต่พอดีมีกระแสพระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะผู้พิพากษาตุลาการขึ้นในวันที่ 25 เมษายน 2549 เสียก่อน การเตรียมตัวของท่านจึงเป็นหมันไป เหลือเพียงการปาฐกถาขาย “ลัทธิประชาธิปไตย” / “การปฏิวัติประชาธิปไตย” อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น

ในเชิงทฤษฎี บิ๊กจิ๋วมีหลักมากกว่านักการเมืองคนใด ท่านยืนยันมาโดยตลอดว่าระบอบประชาธิปไตยโดยผู้แทนแบบที่เราเป็นอยู่นี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง หากแต่เป็น “เผด็จการรัฐสภา” ต่างหาก

มาเมื่อปีที่แล้ว ผมเชื่อว่าจมูกของบิ๊กจิ๋วคงจะได้กลิ่นอะไรสักอย่างที่ชัดเจนมาก จึงทำให้ท่านถึงกับประกาศขอต่อสู้กับขบวนการสาธารณรัฐที่มุ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐโดยใช้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้...

“ตัวกระผม และผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ไม่อาจทนนิ่งเฉย เพราะเป็นความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เป็นภารกิจแห่งชีวิตที่จะต้องดำเนินการเพื่อยุติปัญหาทั้งมวลลง โดยเฉพาะกับความเห็นที่ผิด ๆ หรือที่เรียกว่ามิจฉาทิฐิ ที่ก่อตัวขึ้นเป็นขบวนการบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติที่เรียกว่าขบวนการสาธารณรัฐ มีความมุ่งหมายและดำเนินการโดยยุทธวิธีแนวร่วมเพื่อล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า....

“ในฐานะที่กระผมเองได้ผ่านพิธีศักดิ์สิทธิ์ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา และเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกเหรียญรามาธิบดีที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณได้รับพระราชทานเหรียญชั้นมหาโยธิน....

“จึงขอประกาศต่อสู้กับกลุ่มบุคคลทุกกลุ่มที่กระทำการกระทบกระเทือนและเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันหลักของชาติ และมีลักษณะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่ว่ากรณีใด ๆ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ซึ่งปวงข้าพระพุทธเจ้าเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม จนกว่าชีวิตจะหาไม่....”


ย้ำอีกครั้งตัวโต ๆ กับคำโตคำสุดท้ายของบิ๊กจิ๋ว

“...จนกว่าชีวิตจะหาไม่”

เมื่อปีที่แล้ว บิ๊กจิ๋วไม่ได้ระบุตัวบุคคลว่าใครคือ “ผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ดื้อรั้นบางกลุ่ม” และเกี่ยวข้องอยู่กับนักการเมืองบางคนในพรรคพลังประชาชนที่สืบทอดมาจากพรรคไทยรักไทยหรือไม่อย่างไร

และบิ๊กจิ๋วก็ไม่ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมอีกมากนัก

เมื่อมีการให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาหลังข้อเขียนเผยแพร่ น้ำหนักของประโยคคำพูดก็ดูเบาลง ไม่หนักแน่นเหมือนงานเขียน

จนผมตั้งข้อสังเกตไว้ในงานเขียนชิ้นนั้นของผมเมื่อปีที่แล้วว่า...

“ไม่ว่าจะอย่างไร ผมหวังว่าบิ๊กจิ๋วจะซื่อสัตย์ต่องานเขียนของตัวเองชิ้นนี้ที่ทั้งตรงไปตรงมา จริงจัง จริงใจ และชัดเจนแจ่มแจ้ง...

“ไม่ใช่บทสัมภาษณ์ภายหลังที่ดูเบาหวิวไปถนัดใจ...”


วันนี้ ผมไม่มีอะไรจะวิเคราะห์บิ๊กจิ๋วอีก การตัดสินใจทั้งปวงในการกลับเข้ามาทำงานการเมืองอีกครั้งเป็นของท่าน ผมเพียงจะขอท่านประการเดียว...เหมือนเดิม...

ขอให้ซื่อสัตย์ต่อคำประกาศต่อสู้ที่ให้สัจจะไว้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 !!
กำลังโหลดความคิดเห็น