ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (2 ต.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมกับวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้านและ วิปวุฒิสภา เพื่อหารือถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายอภิสิทธิ์ แถลงหลังการหารือว่า ทุกคนเห็นพ้องกันว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นตามที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯเสนอ โดยให้ฝ่ายกฎหมายของสภาฯเป็นผู้ ยกร่างแก้ไข รัฐธรรมนูญ โดยจะให้ประชาชนเป็นผู้บอกว่าควรจะแก้ไขหรือไม่แก้ไขอย่างไร ฉะนั้นแม้อำนาจการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นของสมาชิกรัฐสภา ตาม ม.291 แต่ก็ควรทำประชามติ เพื่อให้ประชาชนสามารถลงความเห็นว่า สมควรหรือไม่ในการแก้ไข 6 ประเด็น
สำหรับขั้นตอนในการทำประชามติให้วิป 3 ฝ่ายไปพิจารณา โดยให้คำนึงถึง ความสอดคล้องขั้นตอนต่างๆในกฎหมาย เพราะในแต่ละขั้นตอนจะมีประเด็นข้อกฎหมายแตกต่างกัน นอกจากนี้ตัวประชามติยังต้องชัดเจนในสิ่งที่ อยากเสนอต่อประชาชน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาภายหลัง ว่าสิ่งที่ไปลงประชามติกับสิ่งที่จะแก้ไขตรงกันหรือไม่ ที่สำคัญยังต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้นำเสนอ ข้อมูลทั้งสองด้านอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมายประชามติ
ส่วนช่วงเวลาในการทำประชามตินั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องช่วยกันดู แต่ตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้จัดทำประชามติ ซึ่งตนก็บอกว่า เนื่องจากความเห็นยังหลากหลาย เพราะการทำแต่ละขั้นตอนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น 1.ถ้าทำก่อนรับหลักการ ก็มีบางฝ่ายกังวลว่าเมื่อเสร็จแล้วแม้จะได้ความชัดเจนแต่อาจมีการแปรญัตติภายหลังจะเป็นปัญหาหรือไม่ 2.ถ้าทำหลังรับหลักการ ก็จะไม่สอดคล้องกับขั้นตอน ม.291ที่บอกว่าสภาฯต้องเป็นผู้ทำประชาพิจารณ์ ต่างกับประชามติที่รัฐบาลเป็นผู้จัดทำ ก็มีข้อสงสัยว่าอาจมีปัญหาหรือไม่ 3.ถ้าทำหลังยกร่างเสร็จแล้วในทางเทคนิคก็อาจทำได้ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกันอาจมีประเด็นโต้แย้งทางกฎหมาย
ส่วนตัวเห็นว่าทำช่วงไหนก็ไม่มีปัญหา แค่ให้สอดคล้องกับกฎหมายและเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นใช้ได้ และผมยังมั่นใจว่าผู้แทนปวงชนชาวไทยก็น่าจะปฏิบัติตามเจตนารมณ์ที่สะท้อนออกมาผ่านทางการทำประชามติ โดยกรอบเวลา ที่วิปประเมินมาน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 9 เดือน แบ่งเป็นประชามติ 3 เดือน ขั้นตอนในสภา 3 เดือน และกฎหมายลูก 3 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องยุบสภาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีคำว่าต้อง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ต้องดูผลของการประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญก่อน ไปพูดอะไรล่วงหน้าคงไม่ได้ แต่อะไรเหมาะสมตนก็ทำอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ต่อข้อถามว่าจะตั้งเป็นคำถามสำหรับการประชามติด้วยหรือไม่ว่าหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ ควรจะยุบสภาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยู่ที่ตัวร่าง ตนไม่ใช่คนร่างเพราะสภาเป็นฝ่ายร่าง พอร่างออกมาแล้วประชาชนจะเห็นร่าง ระหว่างการทำประชามติก็จะมีคนอธิบายอยู่แล้วว่า เมื่อแก้อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าเงื่อนไข 3 ข้อ ที่เคยพูดไว้ว่าหากทำสำเร็จจะยุบสภา ทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ บรรยากาศทางการเมืองดี และรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมก็มั่นใจว่าเวลา 9 เดือนจากนี้ในช่วงกลางปี 2553 เศรษฐกิจ น่าจะเข้มแข็งพอสมควร มีรากฐานที่ดีแล้ว รัฐธรรมนูญถ้าแก้เสร็จแล้วก็เป็นเงื่อนไข ที่ยอมรับ ก็อยู่ที่บรรยากาศทางการเมืองอย่างเดียว ซึ่งบรรยากาศจะเหมาะสมก็อยู่ที่ผู้เคลื่อนไหว ว่ายังเคลื่อนไหวหวังให้เกิดความรุนแรงอยู่หรือไม่
ส่วนที่มีการวิเคราะห์กันว่าการแก้ไขจะเป็นการเพิ่มปมความขัดแย้งแล้วกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อาจออกมาชุมนุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าถ้าทำประชามติน่าจะเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย ตนเชื่อว่าหากเดินตามแนวทางนี้ปัญหาก็จะคลี่คลาย ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ที่เจอกับปัญหาในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมาที่ชาวต่างประเทศมองเข้ามาแล้วเห็นว่าระบบของเราจัดการกันเองไม่ได้ มีการุชุมนุมประท้วง ความรุนแรง การรัฐประหารมากมาย แต่วันนี้เรากำลังให้ประชาชนลงประชามติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญของประชาชน มาหาคำตอบ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ส่วนที่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญ2540มาใช้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ได้ใช้รัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติและมีสภาที่มาจากรัฐธรรมนูญ2550 รวมทั้งมีผู้แทนปวงชนชาวไทยที่เห็นพ้องในบางประเด็นก็เดินหน้าอยู่ รัฐธรรมนูญ 2540 มี อะไรดีๆ เยอะแต่ก็มีช่องว่างที่ทำให้เกิดปัญหาและทุกพรรคยอมรับแล้วว่ามี ปัญหา การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแก้เรื่องอื่นๆอีกใน อนาคตหากคิดว่าเหมาะสม รายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯระบุถึงเรื่อง ในอนาคตว่าวันข้างหน้าควรจะมีการทำงานขององค์กรที่พัฒนาทางการเมือง อาจมีเรื่องการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาดูในภาพรวมทั้งหมด ตนคิดว่าใครที่คิดว่ารัฐธรรมนูญ 2540 หรือรัฐธรรมนูญ2550ดี ทั้งหมดคงไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง ของที่คิดว่า ดีที่สุดก็น่าจะผสมผสานกันอยู่แล้วและยังมีข้อถกเถียงแต่ 6 ประเด็นที่ตกลงกันแล้วนั้นต้องเดินก่อน หากไปตั้งเรื่องอื่นขึ้นมาจะยืดเยื้อและไม่จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมนั้น สะท้อนว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่อาจแก้ปัญหาและหยุดการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าฝ่ายต่างๆ ต้องชัดเจนว่าตอนนี้ฝ่ายการเมืองได้มีข้อตกลงแบบนี้และต้องไปสอบถามประชาชนด้วยมันเป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับกันได้ของ ทุกฝ่าย แต่การที่ใครจะเสนออะไรเพิ่มเติมก็ทำได้และน่าจะทำงานในระบบกันได้
สำหรับเงื่อนไขในการยุบสภานั้น นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า หากทุกอย่างเรียบร้อย เศรษฐกิจดี รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับ จะให้ยุบสภาก็เอา แต่ถ้าคนเสื้อแดงยังชุมนุมอยู่จะไปยุบสภาได้อย่างไร เมื่อถามว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการ ซื้อเวลาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมมีสิทธิอยู่จนถึง 3 ปี ถ้าจะซื้อเวลาจะไปเสนอแก้รัฐธรรมนูญทำไม เมื่อถามย้ำว่าเป็นเพราะกลัวแพ้การเลือกตั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่กลัว คนที่กลัวคือคนที่ขัดขวางการหาเสียงต่างหาก
สำหรับขั้นตอนในการทำประชามติให้วิป 3 ฝ่ายไปพิจารณา โดยให้คำนึงถึง ความสอดคล้องขั้นตอนต่างๆในกฎหมาย เพราะในแต่ละขั้นตอนจะมีประเด็นข้อกฎหมายแตกต่างกัน นอกจากนี้ตัวประชามติยังต้องชัดเจนในสิ่งที่ อยากเสนอต่อประชาชน ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาภายหลัง ว่าสิ่งที่ไปลงประชามติกับสิ่งที่จะแก้ไขตรงกันหรือไม่ ที่สำคัญยังต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้นำเสนอ ข้อมูลทั้งสองด้านอย่างเท่าเทียมกันตามกฎหมายประชามติ
ส่วนช่วงเวลาในการทำประชามตินั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ต้องช่วยกันดู แต่ตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่ารัฐบาลต้องเป็นผู้จัดทำประชามติ ซึ่งตนก็บอกว่า เนื่องจากความเห็นยังหลากหลาย เพราะการทำแต่ละขั้นตอนมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน เช่น 1.ถ้าทำก่อนรับหลักการ ก็มีบางฝ่ายกังวลว่าเมื่อเสร็จแล้วแม้จะได้ความชัดเจนแต่อาจมีการแปรญัตติภายหลังจะเป็นปัญหาหรือไม่ 2.ถ้าทำหลังรับหลักการ ก็จะไม่สอดคล้องกับขั้นตอน ม.291ที่บอกว่าสภาฯต้องเป็นผู้ทำประชาพิจารณ์ ต่างกับประชามติที่รัฐบาลเป็นผู้จัดทำ ก็มีข้อสงสัยว่าอาจมีปัญหาหรือไม่ 3.ถ้าทำหลังยกร่างเสร็จแล้วในทางเทคนิคก็อาจทำได้ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกันอาจมีประเด็นโต้แย้งทางกฎหมาย
ส่วนตัวเห็นว่าทำช่วงไหนก็ไม่มีปัญหา แค่ให้สอดคล้องกับกฎหมายและเจตนารมณ์ของประชาชนเป็นใช้ได้ และผมยังมั่นใจว่าผู้แทนปวงชนชาวไทยก็น่าจะปฏิบัติตามเจตนารมณ์ที่สะท้อนออกมาผ่านทางการทำประชามติ โดยกรอบเวลา ที่วิปประเมินมาน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 9 เดือน แบ่งเป็นประชามติ 3 เดือน ขั้นตอนในสภา 3 เดือน และกฎหมายลูก 3 เดือน
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องยุบสภาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีคำว่าต้อง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ต้องดูผลของการประชามติและการแก้รัฐธรรมนูญก่อน ไปพูดอะไรล่วงหน้าคงไม่ได้ แต่อะไรเหมาะสมตนก็ทำอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ต่อข้อถามว่าจะตั้งเป็นคำถามสำหรับการประชามติด้วยหรือไม่ว่าหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จ ควรจะยุบสภาหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อยู่ที่ตัวร่าง ตนไม่ใช่คนร่างเพราะสภาเป็นฝ่ายร่าง พอร่างออกมาแล้วประชาชนจะเห็นร่าง ระหว่างการทำประชามติก็จะมีคนอธิบายอยู่แล้วว่า เมื่อแก้อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าเงื่อนไข 3 ข้อ ที่เคยพูดไว้ว่าหากทำสำเร็จจะยุบสภา ทั้งแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ บรรยากาศทางการเมืองดี และรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมก็มั่นใจว่าเวลา 9 เดือนจากนี้ในช่วงกลางปี 2553 เศรษฐกิจ น่าจะเข้มแข็งพอสมควร มีรากฐานที่ดีแล้ว รัฐธรรมนูญถ้าแก้เสร็จแล้วก็เป็นเงื่อนไข ที่ยอมรับ ก็อยู่ที่บรรยากาศทางการเมืองอย่างเดียว ซึ่งบรรยากาศจะเหมาะสมก็อยู่ที่ผู้เคลื่อนไหว ว่ายังเคลื่อนไหวหวังให้เกิดความรุนแรงอยู่หรือไม่
ส่วนที่มีการวิเคราะห์กันว่าการแก้ไขจะเป็นการเพิ่มปมความขัดแย้งแล้วกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อาจออกมาชุมนุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าถ้าทำประชามติน่าจะเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย ตนเชื่อว่าหากเดินตามแนวทางนี้ปัญหาก็จะคลี่คลาย ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ที่เจอกับปัญหาในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมาที่ชาวต่างประเทศมองเข้ามาแล้วเห็นว่าระบบของเราจัดการกันเองไม่ได้ มีการุชุมนุมประท้วง ความรุนแรง การรัฐประหารมากมาย แต่วันนี้เรากำลังให้ประชาชนลงประชามติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญของประชาชน มาหาคำตอบ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ส่วนที่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญ2540มาใช้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ได้ใช้รัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติและมีสภาที่มาจากรัฐธรรมนูญ2550 รวมทั้งมีผู้แทนปวงชนชาวไทยที่เห็นพ้องในบางประเด็นก็เดินหน้าอยู่ รัฐธรรมนูญ 2540 มี อะไรดีๆ เยอะแต่ก็มีช่องว่างที่ทำให้เกิดปัญหาและทุกพรรคยอมรับแล้วว่ามี ปัญหา การแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการแก้เรื่องอื่นๆอีกใน อนาคตหากคิดว่าเหมาะสม รายงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯระบุถึงเรื่อง ในอนาคตว่าวันข้างหน้าควรจะมีการทำงานขององค์กรที่พัฒนาทางการเมือง อาจมีเรื่องการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาดูในภาพรวมทั้งหมด ตนคิดว่าใครที่คิดว่ารัฐธรรมนูญ 2540 หรือรัฐธรรมนูญ2550ดี ทั้งหมดคงไม่ได้อยู่กับความเป็นจริง ของที่คิดว่า ดีที่สุดก็น่าจะผสมผสานกันอยู่แล้วและยังมีข้อถกเถียงแต่ 6 ประเด็นที่ตกลงกันแล้วนั้นต้องเดินก่อน หากไปตั้งเรื่องอื่นขึ้นมาจะยืดเยื้อและไม่จบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมนั้น สะท้อนว่าการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่อาจแก้ปัญหาและหยุดการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง ได้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าฝ่ายต่างๆ ต้องชัดเจนว่าตอนนี้ฝ่ายการเมืองได้มีข้อตกลงแบบนี้และต้องไปสอบถามประชาชนด้วยมันเป็นเรื่องที่น่าจะยอมรับกันได้ของ ทุกฝ่าย แต่การที่ใครจะเสนออะไรเพิ่มเติมก็ทำได้และน่าจะทำงานในระบบกันได้
สำหรับเงื่อนไขในการยุบสภานั้น นายอภิสิทธิ์ ย้ำว่า หากทุกอย่างเรียบร้อย เศรษฐกิจดี รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับ จะให้ยุบสภาก็เอา แต่ถ้าคนเสื้อแดงยังชุมนุมอยู่จะไปยุบสภาได้อย่างไร เมื่อถามว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการ ซื้อเวลาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมมีสิทธิอยู่จนถึง 3 ปี ถ้าจะซื้อเวลาจะไปเสนอแก้รัฐธรรมนูญทำไม เมื่อถามย้ำว่าเป็นเพราะกลัวแพ้การเลือกตั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่กลัว คนที่กลัวคือคนที่ขัดขวางการหาเสียงต่างหาก
