เมื่อวันเสาร์ที่ 26 กันยายน 2552 นี้ อดีตเอกอัครราชทูตสุรพงษ์ ชัยนาม มาเยี่ยมและบอกลาว่าจะไปวอชิงตัน ดี.ซี. แถมยังบอกฝากเรื่องห่วงหน้าห่วงหลังไว้ คือ เรื่องพม่ากับเขมร
ผมอุตส่าห์เพลาการเขียนลงแล้ว ทำไมจึงจะต้องเป็นผมอีกหนอ
ทูตสุรพงษ์บอกว่าได้ทำรายงานให้รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐบาลไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายน 2552 ป.ป.ช.ชี้มูลว่ารัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ผิดหรือไม่ที่ไปร่วมทำสัญญากับนายฮุนเซนโดยพลการ
ถ้านายสมัครไม่ผิดเหมือนกับกล้ายางละก็ เรื่องจะยุ่งยากขึ้นแน่ๆ
ดีไม่ดี อาจจะถึงกับเสียดินแดน
ทุกวันนี้ รัฐบาลดีแต่พล่ามว่า “ไม่เสีย-ไม่เสีย” แต่ประชาชนส่วนใหญ่ชักจะไม่เชื่อรัฐบาลเสียแล้ว
โดยเฉพาะผู้ที่รักชาติและมีข้อมูลที่พากันเดินทางไปพิสูจน์อธิปไตยของชาติในวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา
ทำไมจึงไม่อยากเชื่อ ก็เพราะรัฐบาลดีแต่พูด แต่ไม่เคยอธิบายเลยว่าทำไมจึงบอกว่าไม่เสีย หรือจะเอาคืนมาได้อย่างไร เมื่อใด
ท่านทูตบอกว่า ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลสมควรจะตอบด้วยการกระทำอันเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ ว่าเรามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรดอดเข้ามาครอบครอง เช่น การชักธงไทยขึ้นเสาในอาณาบริเวณ ส่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ขึ้นไปปฏิบัติงาน เช่น นักอนุรักษ์ ตรวจคนเข้าเมือง หรือท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยในชั้นนี้อาจจะยังไม่ต้องใช้กำลังกวาดต้อนเขมรออกไปเลยก็ได้ และต้องปรามเขมรว่าถ้าขืนแตะต้องคนของเราจะต้องเจอดี พร้อมทั้งแสดงศักยภาพทางกำลังว่าสามารถจะกระทำตามที่ขู่ได้
ในวันที่ 13 กันยายน เมื่อรัฐมนตรีกษิตขึ้นไปสำรวจพื้นที่นั้น เห็นในทีวีมีภาพธงชาติเขมรโบกสบัดอยู่ และถ้าเราปล่อยให้เขมรอ้างได้ว่าก่อนจะขึ้นไป รัฐมนตรีกษิตยังต้องขออนุญาตฝ่ายเขมรด้วย ก็ยิ่งจะแย่ แต่ผมไม่เชื่อว่ารัฐมนตรีกษิตจะทำอย่างนั้น
ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่าไม่นานหลังจากที่คณะของวีระ สมความคิดขึ้นไป และเจอภาพคนไทยด้วยกันเองขัดขวางและซุ่มโจมตี บริษัทน้ำมันอเมริกัน 2 บริษัทก็ไปประชุมแบ่งเนื้อที่ขุดเจาะสัมปทานกันกับรัฐบาลเขมรในกรุงพนมเปญ พร้อมกับข่าวว่าอีกไม่นานอเมริกันจะส่งเครื่องบินขับไล่มาช่วยฮุนเซน 20 ลำ
ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้มิใช่จะยุกองทัพอากาศให้เตรียมพร้อม หรือยุให้รัฐบาลไทยทำสงครามกับเขมร ลำพังกำลังทหารเขมรที่เบ่งอยู่แถวเขาพระวิหารนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงขี้คร้านจะวิ่งแจ้นมาเจรจา
ผมเขียนมาถึงตอนนี้ก็หยุด กลับมาเขียนใหม่พุธที่ 30 เวลา 9 นาฬิกา คืนที่หยุดนั้น ได้ยินฮุนเซนประกาศอย่างโอหังว่า ได้สั่งทหารให้ยิงคนไทยทุกคน ไม่ว่าพลเรือนหรือทหารที่เข้าไปในที่ของของเขมร
ถ้าไทยยังขืนยึกยักเรื่องนี้อยู่ก็อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา หรือถ้าอภิสิทธิ์ขืนเอาแผนที่ฉบับเดิมมาอ้างอีก ก็จะฉีกแผนที่ใส่หน้าอภิสิทธิ์ เช่นเดียวกับที่ทหารเขมรฉีกแผนที่ใส่หน้าผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทยมาแล้ว
แผนที่ที่ว่านี้ก็คือฉบับเดียวกับที่เขมรเคยรับแล้วในปี 2505 ภายหลังที่ศาลโลกตัดสิน แต่ทำไมในวันนี้เขมรจึงจองหองพองขนน่าเหยียบอย่างนี้
คำตอบก็คือ ความอ่อนแอโลเลของรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลที่งดเว้นไม่ทำในสิ่งที่ควรกระทำ และ/หรือกลับไปกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ คือการร่วมมือกับผู้มีอำนาจทั้งไทยและเขมร เอาที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพื้นที่ในทะเลอันเป็นผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยหวังว่าจะโมเมเอาได้
สำหรับรัฐบาลปัจจุบันก็ได้แต่อมพะนำ ไม่พูดหรือทำอะไรที่ชัดเจน อ้างแต่ว่าสัมพันธภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มัวแต่เทียวไปเทียวมา ล.ก.ป.ฮุนเซน
เมื่อประชาชนผู้รักชาติพากันขึ้นไปยืนยันอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติ แทนที่จะยกย่องและถือโอกาสประกาศให้ฮุนเซนเข้าใจว่าพลังรักชาติที่แท้จริงของคนไทยนั้นใครก็ห้ามไม่อยู่ ก็กลับขู่ว่าใครทำผิดเรื่องปะทะกันก็จะว่าตามผิด ทั้งๆ ที่ไม่มีการปะทะมีแต่การซุ่มโจมตีจากพวกสมุนผู้ขายชาติ
หากรัฐบาลนายสมัครไม่ขายชาติ กระดาษแผ่นเดียวจากรัฐบาลไทยไปบอกยูเนสโกว่าไทยจะขอเป็นผู้ร้องร่วมเรื่องเขาพระวิหารก็จบ บัดนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วเมื่อวานนี้ว่านายสมัครกับนายนพดลกระทำผิดเอื้อประโยชน์ให้คุณพ่อฮุนเซน ส่วน ครม.โง่ทั้งคณะนั้นพ้นผิดเพราะไม่มีเจตนาและ ป.ป.ช.ยังไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยเรื่อง Collective Responsibility หรือความรับผิดชอบร่วมของ ครม.ก็ไม่เป็นไร แต่รัฐบาลต้องไปบอกยูเนสโกเดี๋ยวนี้ว่าทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและ ป.ป.ช. มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การกระทำของรัฐบาลสมัครเป็นโมฆะ รัฐบาลนี้จำเป็นต้องเชื่อฟัง
เรื่องเขมรเบ่งคับทับคนไทยนี้ ผมว่าแก้ไม่ยาก ถ้าหากไทยไม่คว่ำบาตรโดยมาตรการเศรษฐกิจ เมื่อเขมรได้สำแดงแน่ชัดว่าต้องการรักษาสภาพ No War-No Peace คือไม่มีสงคราม-ไม่มีสันติภาพอย่างนี้ก็ดีแล้ว ปล่อยให้เขายิงเราลองดูสักนัดหนึ่งก่อน เราจะสามารถใช้เครื่องบินถล่มเลยทันที แล้วจึงค่อยเจรจากัน
ไทยไม่ควรกลัวแต่ควรใช้คำตัดสินของศาลโลกปี 2505 ให้เป็นประโยชน์ เพราะเราเพียงถูกหลักกฎหมายปิดปากมิให้เรียกร้อง “ตัวเขาพระวิหาร” เท่านั้น อาณาบริเวณต่างๆ ยังเป็นของไทยอยู่ถ้ายึดหลักสนธิสัญญากับฝรั่งเศสปี 1904 ที่เอาสันปันน้ำเป็นเขต
หรือถ้าเขมรจะถือสิทธิเรียกร้องกลับไปถึงสมัยโบราณที่ตนและไทยยังไม่มีสภาพเป็นรัฐชาติ หรือ Nation State เช่นในปัจจุบัน เราก็จะได้ถือหลักให้คืนกลับไปสู่สถานภาพเดิม Status Quo Ante ล่าสุดก่อนที่จะมาเป็นรัฐชาติของเขมร โดยเอาเสียมเรียบ พระตะบองกับศรีโสภณคืนมาเสีย เอาไหม
แต่ปัญหาที่ทูตสุรพงษ์ห่วงยิ่งกว่า น่าจะเป็นเรื่องพม่า เผด็จการทหารกำลังเตรียมการเลือกตั้งเพื่อจะสืบอำนาจต่อ มีความเป็นไปได้สูงที่พม่าจะสร้างสถานการณ์ชายแดนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มือปืนรับจ้างและซากเดนอำนาจไทยเข้ามาลอบสังหารผู้นำกะเหรี่ยงทั้งหมดในอำเภอแม่สอด
ถ้าไทยสมยอม เราจะเสียหายหนัก เป็นที่สังเกตทั่วโลกว่านอกจากจีน อินเดีย และรัสเซียที่ผลัดกันอุ้มพม่าแล้ว เพื่อนบ้านอารีคือไทยนี่แหละที่เป็นมิตรตัวจริงของเผด็จการพม่า เพราะผู้นำไทยเห็นแก่เงินและผลประโยชน์ เพื่อนบ้านอย่างพม่าและเขมรจึงเป็นหอกข้างแคร่อยู่อย่างทุกวันนี้
ผมอุตส่าห์เพลาการเขียนลงแล้ว ทำไมจึงจะต้องเป็นผมอีกหนอ
ทูตสุรพงษ์บอกว่าได้ทำรายงานให้รัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐบาลไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันอังคารที่ 29 กันยายน 2552 ป.ป.ช.ชี้มูลว่ารัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ผิดหรือไม่ที่ไปร่วมทำสัญญากับนายฮุนเซนโดยพลการ
ถ้านายสมัครไม่ผิดเหมือนกับกล้ายางละก็ เรื่องจะยุ่งยากขึ้นแน่ๆ
ดีไม่ดี อาจจะถึงกับเสียดินแดน
ทุกวันนี้ รัฐบาลดีแต่พล่ามว่า “ไม่เสีย-ไม่เสีย” แต่ประชาชนส่วนใหญ่ชักจะไม่เชื่อรัฐบาลเสียแล้ว
โดยเฉพาะผู้ที่รักชาติและมีข้อมูลที่พากันเดินทางไปพิสูจน์อธิปไตยของชาติในวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา
ทำไมจึงไม่อยากเชื่อ ก็เพราะรัฐบาลดีแต่พูด แต่ไม่เคยอธิบายเลยว่าทำไมจึงบอกว่าไม่เสีย หรือจะเอาคืนมาได้อย่างไร เมื่อใด
ท่านทูตบอกว่า ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลสมควรจะตอบด้วยการกระทำอันเป็นสัญลักษณ์มองเห็นได้ ว่าเรามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่เขมรดอดเข้ามาครอบครอง เช่น การชักธงไทยขึ้นเสาในอาณาบริเวณ ส่งเจ้าหน้าที่ต่างๆ ขึ้นไปปฏิบัติงาน เช่น นักอนุรักษ์ ตรวจคนเข้าเมือง หรือท่องเที่ยว เป็นต้น
โดยในชั้นนี้อาจจะยังไม่ต้องใช้กำลังกวาดต้อนเขมรออกไปเลยก็ได้ และต้องปรามเขมรว่าถ้าขืนแตะต้องคนของเราจะต้องเจอดี พร้อมทั้งแสดงศักยภาพทางกำลังว่าสามารถจะกระทำตามที่ขู่ได้
ในวันที่ 13 กันยายน เมื่อรัฐมนตรีกษิตขึ้นไปสำรวจพื้นที่นั้น เห็นในทีวีมีภาพธงชาติเขมรโบกสบัดอยู่ และถ้าเราปล่อยให้เขมรอ้างได้ว่าก่อนจะขึ้นไป รัฐมนตรีกษิตยังต้องขออนุญาตฝ่ายเขมรด้วย ก็ยิ่งจะแย่ แต่ผมไม่เชื่อว่ารัฐมนตรีกษิตจะทำอย่างนั้น
ผมอยากตั้งข้อสังเกตว่าไม่นานหลังจากที่คณะของวีระ สมความคิดขึ้นไป และเจอภาพคนไทยด้วยกันเองขัดขวางและซุ่มโจมตี บริษัทน้ำมันอเมริกัน 2 บริษัทก็ไปประชุมแบ่งเนื้อที่ขุดเจาะสัมปทานกันกับรัฐบาลเขมรในกรุงพนมเปญ พร้อมกับข่าวว่าอีกไม่นานอเมริกันจะส่งเครื่องบินขับไล่มาช่วยฮุนเซน 20 ลำ
ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้มิใช่จะยุกองทัพอากาศให้เตรียมพร้อม หรือยุให้รัฐบาลไทยทำสงครามกับเขมร ลำพังกำลังทหารเขมรที่เบ่งอยู่แถวเขาพระวิหารนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงขี้คร้านจะวิ่งแจ้นมาเจรจา
ผมเขียนมาถึงตอนนี้ก็หยุด กลับมาเขียนใหม่พุธที่ 30 เวลา 9 นาฬิกา คืนที่หยุดนั้น ได้ยินฮุนเซนประกาศอย่างโอหังว่า ได้สั่งทหารให้ยิงคนไทยทุกคน ไม่ว่าพลเรือนหรือทหารที่เข้าไปในที่ของของเขมร
ถ้าไทยยังขืนยึกยักเรื่องนี้อยู่ก็อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา หรือถ้าอภิสิทธิ์ขืนเอาแผนที่ฉบับเดิมมาอ้างอีก ก็จะฉีกแผนที่ใส่หน้าอภิสิทธิ์ เช่นเดียวกับที่ทหารเขมรฉีกแผนที่ใส่หน้าผู้บัญชาการทหารสูงสุดไทยมาแล้ว
แผนที่ที่ว่านี้ก็คือฉบับเดียวกับที่เขมรเคยรับแล้วในปี 2505 ภายหลังที่ศาลโลกตัดสิน แต่ทำไมในวันนี้เขมรจึงจองหองพองขนน่าเหยียบอย่างนี้
คำตอบก็คือ ความอ่อนแอโลเลของรัฐบาลไทยทุกรัฐบาลที่งดเว้นไม่ทำในสิ่งที่ควรกระทำ และ/หรือกลับไปกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำ คือการร่วมมือกับผู้มีอำนาจทั้งไทยและเขมร เอาที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้เป็นเครื่องมือต่อรองกับพื้นที่ในทะเลอันเป็นผลประโยชน์ส่วนบุคคล โดยหวังว่าจะโมเมเอาได้
สำหรับรัฐบาลปัจจุบันก็ได้แต่อมพะนำ ไม่พูดหรือทำอะไรที่ชัดเจน อ้างแต่ว่าสัมพันธภาพระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มัวแต่เทียวไปเทียวมา ล.ก.ป.ฮุนเซน
เมื่อประชาชนผู้รักชาติพากันขึ้นไปยืนยันอธิปไตยเหนือดินแดนของชาติ แทนที่จะยกย่องและถือโอกาสประกาศให้ฮุนเซนเข้าใจว่าพลังรักชาติที่แท้จริงของคนไทยนั้นใครก็ห้ามไม่อยู่ ก็กลับขู่ว่าใครทำผิดเรื่องปะทะกันก็จะว่าตามผิด ทั้งๆ ที่ไม่มีการปะทะมีแต่การซุ่มโจมตีจากพวกสมุนผู้ขายชาติ
หากรัฐบาลนายสมัครไม่ขายชาติ กระดาษแผ่นเดียวจากรัฐบาลไทยไปบอกยูเนสโกว่าไทยจะขอเป็นผู้ร้องร่วมเรื่องเขาพระวิหารก็จบ บัดนี้ ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้วเมื่อวานนี้ว่านายสมัครกับนายนพดลกระทำผิดเอื้อประโยชน์ให้คุณพ่อฮุนเซน ส่วน ครม.โง่ทั้งคณะนั้นพ้นผิดเพราะไม่มีเจตนาและ ป.ป.ช.ยังไม่เข้าใจหลักประชาธิปไตยเรื่อง Collective Responsibility หรือความรับผิดชอบร่วมของ ครม.ก็ไม่เป็นไร แต่รัฐบาลต้องไปบอกยูเนสโกเดี๋ยวนี้ว่าทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองและ ป.ป.ช. มีความเห็นเป็นอย่างเดียวกันว่า การกระทำของรัฐบาลสมัครเป็นโมฆะ รัฐบาลนี้จำเป็นต้องเชื่อฟัง
เรื่องเขมรเบ่งคับทับคนไทยนี้ ผมว่าแก้ไม่ยาก ถ้าหากไทยไม่คว่ำบาตรโดยมาตรการเศรษฐกิจ เมื่อเขมรได้สำแดงแน่ชัดว่าต้องการรักษาสภาพ No War-No Peace คือไม่มีสงคราม-ไม่มีสันติภาพอย่างนี้ก็ดีแล้ว ปล่อยให้เขายิงเราลองดูสักนัดหนึ่งก่อน เราจะสามารถใช้เครื่องบินถล่มเลยทันที แล้วจึงค่อยเจรจากัน
ไทยไม่ควรกลัวแต่ควรใช้คำตัดสินของศาลโลกปี 2505 ให้เป็นประโยชน์ เพราะเราเพียงถูกหลักกฎหมายปิดปากมิให้เรียกร้อง “ตัวเขาพระวิหาร” เท่านั้น อาณาบริเวณต่างๆ ยังเป็นของไทยอยู่ถ้ายึดหลักสนธิสัญญากับฝรั่งเศสปี 1904 ที่เอาสันปันน้ำเป็นเขต
หรือถ้าเขมรจะถือสิทธิเรียกร้องกลับไปถึงสมัยโบราณที่ตนและไทยยังไม่มีสภาพเป็นรัฐชาติ หรือ Nation State เช่นในปัจจุบัน เราก็จะได้ถือหลักให้คืนกลับไปสู่สถานภาพเดิม Status Quo Ante ล่าสุดก่อนที่จะมาเป็นรัฐชาติของเขมร โดยเอาเสียมเรียบ พระตะบองกับศรีโสภณคืนมาเสีย เอาไหม
แต่ปัญหาที่ทูตสุรพงษ์ห่วงยิ่งกว่า น่าจะเป็นเรื่องพม่า เผด็จการทหารกำลังเตรียมการเลือกตั้งเพื่อจะสืบอำนาจต่อ มีความเป็นไปได้สูงที่พม่าจะสร้างสถานการณ์ชายแดนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มือปืนรับจ้างและซากเดนอำนาจไทยเข้ามาลอบสังหารผู้นำกะเหรี่ยงทั้งหมดในอำเภอแม่สอด
ถ้าไทยสมยอม เราจะเสียหายหนัก เป็นที่สังเกตทั่วโลกว่านอกจากจีน อินเดีย และรัสเซียที่ผลัดกันอุ้มพม่าแล้ว เพื่อนบ้านอารีคือไทยนี่แหละที่เป็นมิตรตัวจริงของเผด็จการพม่า เพราะผู้นำไทยเห็นแก่เงินและผลประโยชน์ เพื่อนบ้านอย่างพม่าและเขมรจึงเป็นหอกข้างแคร่อยู่อย่างทุกวันนี้