อุดรธานี - แกนนำภาคประชาชนอุดรธานี เปิดแถลงข่าวแจงกรณีเหตุการณ์ที่ “บ้านภูมิซรอล” ยันกลุ่มประชาชนผู้รักชาติและพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นต้นเหตุของความรุนแรง ตามที่สื่อมวลชนบิดเบือน ในทางกลับกันขบวนรถถูกลอบทำร้าย ทั้งป่าขวด ก้อนหิน ท่อนไม้จากชาวบ้านที่ถูกปลุกระดมมา จวกยับหากทหาร-ตำรวจไม่ละเว้นหน้าที่ เหตุรุนแรงก็ไม่เกิดขึ้น
เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (22 ก.ย.) ที่บริเวณหน้าห้างทองศรีอุดร นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ แกนนำภาคประชาชนอุดรธานี ได้แถลงข่าวกรณีเหตุการณ์เรื่องความจริงที่บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานข่าวกรอง เข้ารับฟังการแถลงข่าว
นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ หนึ่งในแกนนำภาคประชาชนที่ร่วมเดินทางแสดงจุดยืนเพื่อทวงเขตแดนไทยบริเวณรอบพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2552 มีพี่น้องประชาชนคนไทยจำนวนมาก ได้นัดหมายกันที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ร่วมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลไทยมีมาตรการที่เด็ดขาด ในเรื่องพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร ยังเป็นของคนไทยอยู่ ซึ่งทางรัฐบาลไทยเองก็ได้ยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นของราชอาณาจักรไทย
แต่ความจริงแล้ว พื้นที่ตรงนั้นไม่อนุญาตให้คนไทยเข้าไปได้ ซึ่งในขณะเดียวกันพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีชาวกัมพูชาและกองกำลังทหารของกัมพูชาได้เข้าไปสร้างบ้านเรือน อยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยสาเหตุดังกล่าว ทำให้ภาคประชาชนรู้สึกอึดอัด ตนในฐานะแกนนำภาคประชาชนภาคอีสาน จึงได้ร่วมตัวกันตั้งเป็นคณะกรรมการโครงการ “รวมใจคนไทยทวงคืนเขาพระวิหาร” ขึ้น เพราะรัฐบาลไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้เลยว่า พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นของคนไทยอยู่
นายเจริญ เล่าว่า ในขณะที่ภาคประชาชนได้รวมตัวกันที่เขาพระวิหารได้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นที่โรงเรียนบ้านภูมิซรอล ซึ่งในตอนเช้าวันต่อมาสื่อสารมวล โดยเฉพาะสื่อสิ่งพิมพ์ ได้มีการพาดหัวข่าวไปในทำนองว่า การรณรงค์ทวงแผ่นดินไทยคืนจากเขมรของภาคประชาชนนั้น ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น ดังนั้น จำเป็นที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยได้รับทราบ
จากนั้นนายเจริญ ได้อ่านแถลงการณ์เรื่อง “ความจริงที่บ้านภูมิซรอล” โดยมีใจความว่า ด้วยตามที่โครงการ “รวมใจคนไทยทวงคืนเขาพระวิหาร” ได้ทำการรณรงค์ในระหว่างวันที่ 10 - 19 กันยายน 2552 เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและปลุกจิตสำนึกของคนไทยให้มีความรู้สึกหวงแหนผืนแผ่นดินไทยบริเวณโดยรอบประสาทพระวิหาร ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ประมาณ 4.6 ตร.กม.(ประมาณ 3,000 ไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทย แต่ถูกชาวกัมพูชาและกองกำลังทหารยึดครองอยู่ในขณะนี้ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่อนุญาตให้คนไทยขึ้นไปบนพื้นที่ดังกล่าวนั้น
บัดนี้ การรณรงค์ฯดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ปรากฏว่า สื่อมวลชนได้เสนอข่าวเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านภูมิซรอลกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งทางคณะกรรมการโครงการฯเห็นว่ายังมีความคลาดเคลื่อนของการเสนอข่าวในหลายประเด็น ซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้มอบหมายให้ตน ผู้ประสานงานโครงการฯซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้โดยตลอด เป็นผู้ทำการแถลงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (22 ก.ย.)
ประเด็นที่ 1 มวลชนที่ร่วมขบวนคือประชาชนชาวไทยจากทั่วประเทศโดยมีมวลชนที่เป็นทั้งพันธมิตรฯ และไม่ใช่พันธมิตรฯ
ประเด็นที่ 2 ขบวนรถถูกโจมตีทันทีที่เคลื่อนออกหลังจากด่านตำรวจยอมเปิดทางที่หน้าโรงเรียนบ้านภูมิซรอลโดยกลุ่มคนประมาณ 30-40 คน ที่อยู่ภายในรั้วของโรงเรียนได้ขว้างปาก้อนหิน ท่อนไม้ ขวดน้ำ และมีเสียงปืนดังขึ้นตลอดเวลา โดยมีผู้ใช้เครื่องเสียงอยู่ในนั้นพูดปลุกระดมตลอดเวลาและกลุ่มคนเหล่านั้นได้มีการวิ่งกรูเข้ามาหาขบวนรถพร้อมอาวุธมีด ดาบ และท่อนไม้ในมือ ทำให้คนในขบวนต้องป้องกันตัวเองโดยมีรถเครื่องเสียงได้ประกาศให้ทุกคนอย่าได้เข้าปะทะเป็นอันขาด
แต่ให้รวมตัวกันให้มากเพื่อเป็นการข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามให้ล่าถอยเข้าไปในโรงเรียน สถานการณ์เป็นอยู่แบบนี้เป็นระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง รถเครื่องเสียงนำขบวนจึงสามารถผ่านหน้าโรงเรียนไปปักหลักอยู่เลยไปจากหน้าโรงเรียนประมาณ 50 เมตรเพื่อรอให้ขบวนรถของทุกคนสามารถผ่านไปได้ทั้งหมด
แต่ก็ถูกกลุ่มคนภายในโรงเรียนขว้างปาอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก มีคนของฝ่ายตรงกันข้ามถูกจับกุมตัวได้ 1 คน ขณะที่วิ่งเข้ามาทำร้ายคนในขบวนโดยมีอาวุธดาบอีโต้อยู่ในมือ ซึ่งจากการพูดคุยปรากฏว่า ชายผู้นี้พูดได้แต่ภาษาเขมร หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงจึงสามารถคุ้มกันขบวนรถทั้งหมดผ่านไปได้ แต่ชุดคุ้มครองยังคงปักหลักป้องกันอยู่ที่เดิมเนื่องจากมีการซุ่มโจมตีตามแนวชายป่าด้านข้างอยู่ตลอดเวลา
ประเด็นที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโล่ห์อยู่ภายในบริเวณโรงเรียนมีประมาณ 200 คนในช่วงแรกที่ขบวนรถถูกโจมตีก็ได้มีการพยายามเข้าระงับเหตุอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เข้ามาทั้งหมด มีบางส่วนยืนดูอยู่ด้านข้าง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจก็ล่าถอยไปยืนดูอยู่ด้านข้างทั้งหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ ปล่อยให้กลุ่มคนเหล่านั้นเข้าโจมตีขบวนรถโดยสะดวก รถเครื่องเสียงได้พยายามพูดกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำหน้าที่แต่ก็ไม่เป็นผล
เหตุการณ์หลังจากนั้น เมื่อการเจรจาระหว่างตัวแทนของพี่น้องประชาชนกับทางฝ่ายทหารบรรลุผล การคุ้มกันการเดินทางกลับของพี่น้องโดยตำรวจและทหารจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผิดกันอย่างสิ้นเชิงกับตอนขามา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่จะสามารถป้องกันเหตุร้ายได้