โดย...ไสว บุญมา
เมื่อวันที่ 11 ผมเรียนว่าการจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป สังคมไทยต้องเสริมสร้างทุนทางสังคมให้แข็งแกร่งขึ้น วันนี้จะเรียนว่า การทำเช่นนั้นนับวันจะยิ่งยากเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการโลกจะเป็นอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสขึ้น ปัจจัยพื้นฐานมี 4 อย่างด้วยกันคือ ทรัพยากร จำนวนคน การบริโภคของแต่ละคนและเทคโนโลยี เราทราบดีแล้วว่าโลกมีทรัพยากรจำกัด นั่นเป็นสัจพจน์ ขณะนี้โลกมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6,800 ล้านคนแล้ว ทุกคนต้องบริโภค หรือใช้ทรัพยากรเพื่อยังชีวิต เทคโนโลยีถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา มันมีคุณอนันต์แต่มักแฝงโทษมหันต์มาด้วย
ก่อนเกิดยุคเกษตรกรรมเมื่อเกือบ 10,00 ปีที่แล้ว โลกมีประชากรประมาณ 5 ล้านคนซึ่งดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์ จึงจำกัดการบริโภคเท่าที่หาได้ เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้แก่การรู้จักปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ซึ่งเอื้อให้ผลิตอาหารได้มาก เมื่อมีอาหาร คนโบราณก็ผลิตลูกเพิ่ม พวกเขามีเวลาแสวงหาความก้าวหน้าและสร้างอาณาจักรต่างๆ ขึ้นด้วย แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรและการสร้างอาณาจักรเหล่านั้นนำไปสู่การใช้ทรัพยากรมากขึ้น มันเป็นคำสาปของเทคโนโลยีใหม่เมื่อมันนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและการแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างเข้มข้นจนในที่สุดอาณาจักรทั้งหลายก็ล่มสลายลง ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน โรมัน หรือมายา
โลกตกอยู่ในยุคเกษตรกรรมหลายพันปีก่อนที่เทคโนโลยีใหม่ซึ่งได้แก่เครื่องจักรกลจะเกิดขึ้นเมื่อราว 250 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นประชากรโลกเพิ่มเป็นประมาณ 800 ล้านคน เครื่องจักรกลทำให้เกิดยุคอุตสาหกรรมอันมีโรงงานขนาดใหญ่ที่จูงใจคนงานให้ทิ้งถิ่นฐานบ้านเดิมไปรับงานใหม่ในเมือง พวกเขามักถูกเอาเปรียบจากนายจ้างยังผลให้เกิดความแตกต่างอย่างฟ้ากับดินของคนสองชนชั้น ความแตกต่างนั้นผลักดันให้เกิดแนวคิดระบบคอมมิวนิสต์ ระบบนี้แตกต่างกับระบบตลาดเสรีซึ่งมีมาก่อนแล้วคือ รัฐเป็นเจ้าของทรัพยากรทุกอย่างและจะสั่งใครทำอะไรก็ได้ ในขณะที่ในระบบตลาดเสรี เอกชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพยากรและมีอิสระที่จะประกอบอาชีพ
ความก้าวหน้าทางการรักษาพยาบาลที่เกิดพร้อมๆ กันกับเครื่องจักรกลทำให้จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการแย่งชิงทรัพยากรเข้มข้นจนเกิดการล่าอาณานิคมและสงครามน้อยใหญ่ไปทั่วโลก สงครามเย็นเป็นสงครามที่ฝ่ายตลาดเสรีต่อสู่กับฝ่ายที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์ซึ่งมีผลทั้งในด้านการค้นพบเทคโนโลยีใหม่และการทำลายทรัพยากรที่ใช้สร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำลายล้างกัน ในบรรดาเทคโนโลยีใหม่ได้แก่เทคโนโลยีดิจิตอลซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดยุคสารสนเทศเมื่อราว 30 ปีที่ผ่านมา แม้ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะแพ้สงครามเย็น แต่การแย่งชิงทรัพยากรยังเข้มข้นเพราะจำนวนคนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายยิ่งกว่านั้น เกือบทุกคนยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด เทคโนโลยีใหม่ช่วยแก้ปัญหาได้มากแต่ก็พกเอาคำสาปมาด้วยเช่นเดิม โดยเฉพาะการหลอมรวมตลาดเงินเป็นตลาดเดียวกันจนทำให้การโยกย้ายเงินจำนวนมหาศาลสามารถทำได้ภายในพริบตา เมืองไทยได้รับผลร้ายของการโยกย้ายเงินแบบนี้เมื่อกลางปี 2540
การบริโภคที่เพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดนี้มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหน้าใหญ่ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยการให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนจนระบบตลาดเสรีเลื่อนไปตกขอบ แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวจนเอื้อให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บริโภคได้มากจนอ้วนเกินพอดีและแต่ละคนใช้ทรัพยากรราว 6 เท่าของชาวโลกแล้ว แต่ชาวอเมริกันยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น วิธีที่พวกเขาจะทำได้คือการสร้างความร่ำรวยมหาศาลซึ่งมีค่าทำกับการแย่งชิงทรัพยากรมาไว้ในครอบครองนั่นเอง กระบวนการนี้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ หนุ่มสาวอเมริกันที่มีมันสมองปราดเปรื่องนิยมเรียนวิชาบริหารธุรกิจแทนการเรียนสาขาที่นิยมกันมาก่อน เช่น แพทย์ เมื่อเรียนจบก็มักไปทำงานในภาคการเงินเพื่อหวังสร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งทำได้ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับใช้การละเมิดจรรยาบรรณและการฉ้อโกง
วิธีการสร้างความร่ำรวยที่สำคัญได้แก่การสร้างนวัตกรรมทางการเงิน อาทิ การสร้างตราสารหนี้ขึ้นจากดัชนีและหนี้อื่นๆ แล้วนำมาขายในรูปของอนุพันธ์ และการตั้งกองทุนขนาดใหญ่เพื่อใช้เก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน เมืองไทยได้เห็นพิษสงของกิจกรรมจำพวกนี้เมื่อปี 2540 วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันก็เกิดจากกระบวนการเดียวกัน นั่นคือ ชาวอเมริกันจำนวนมากก่อหนี้จนเกินระดับที่ตนสามารถชำระได้เพื่อนำเงินไปซื้อบ้าน
การก่อหนี้นั้นได้รับการช่วยเหลือจากนายหน้าซึ่งลดมาตรฐานของการให้กู้และบางคนทำผิดกฎหมายด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้น เมื่อให้กู้ไปแล้ว พวกเขาก็นำสัญญาหนี้ไปขายให้สถาบันการเงินซึ่งนำสัญญาเหล่านั้นมารวมกันแล้วแยกขายในรูปของอนุพันธ์ต่างๆ ผู้ที่ซื้อไปไม่รู้แม้กระทั่งความเสี่ยงเพราะคิดแต่เพียงว่าจะทำกำไรได้อย่างงดงาม นั่นเป็นการลงทุนที่มีจรรยาบรรณต่ำมาก เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้การซื้อขายอนุพันธ์จำนวนมหาศาลเกิดขึ้นได้เพราะมันทำให้ตลาดเงินไร้พรมแดนแล้ว กระบวนการนี้เป็นไปหลายรอบจนกระทั่งถึงวันที่ลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา ชนวนวิกฤตก็ถูกจุดให้ปะทุออกมาเมื่อกลางปี 2550
ปรากฏการณ์หลายอย่างในเมืองไทยอาจอธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ผลักดันให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันนี่เอง ความไร้จรรยาบรรณของชนชั้นพ่อค้าและความฉ้อฉลของชนชั้นผู้นำที่หาทางสร้างความร่ำรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปรากฏการณ์เลวร้ายที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เทคโนโลยีร่วมสมัยช่วยให้การฉ้อฉลและการซุกซ่อนกลโกงทำได้ง่าย การสั่งจ่ายสินบนในต่างประเทศ การโยกย้ายเงินไปซุกไว้ในเกาะต่างๆ และการถอนเงินนั้นมาใช้ในการป่วนบ้านป่วนเมืองล้วนทำได้ภายในพริบตา แต่สังคมไทยก็ใช่จะโดดเดี่ยวเพราะประเทศที่ก้าวหน้า เช่น สหรัฐอเมริกาก็มีความฉ้อฉลเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หากเราอ่านหนังสือชื่อ Are We Rome? ซึ่งมีบทคัดย่ออยู่ในเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com ยิ่งกว่านั้น การแย่งชิงทรัพยากรกันในระดับประเทศก็เข้มข้นขึ้นด้วย เกือบทุกสัปดาห์จึงมีรายงานว่าจีนไปซื้อบริษัทขนาดยักษ์ที่ผลิตวัตถุดิบจากทั่วสารทิศ กระบวนการนี้มิใช่ของใหม่เพราะบริษัทใหญ่ๆ ของฝรั่งทำกันมานานแล้ว
ในภาวะเช่นนี้เรามีทางออกอย่างไร? อันที่จริงคนไทยเคยมองการณ์ไกลมาก่อน จึงได้ลดอัตราการเกิดของประชากรลงอย่างรวดเร็ว แต่เราต้องพยายามลดต่อไปจนกว่าประชากรไทยจะไม่เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าคู่สามีภรรยาโดยทั่วไปไม่ควรมีลูกเกินสองคน อย่างไรก็ตาม การบริโภคของแต่ละคนยังเพิ่มขึ้นทั้งที่บางส่วนไม่มีความจำเป็น ฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าตนบริโภคเกินก็ควรลดส่วนนั้นลงบ้าง เกี่ยวกับประเด็นนี้ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ นั่นคือ ใช้มาตรการจูงใจให้ผู้ที่ยังไม่ค่อยตระหนักถึงผลเสียของการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นให้หยุดยั้งและลดละการกระทำเช่นนั้น
ผมได้เสนอแนวคิดสำหรับมาตรการต่างๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤตไทย” ซึ่งคุณหมอนภาพร ลิมป์ปิยากรได้จัดพิมพ์เพื่อนำส่วนหนึ่งไปมอบให้ผู้ที่อาจมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมอ่านรวมทั้งผู้ที่อยู่ในรัฐบาลด้วย แก่นของหนังสือคือการเสนอแนะว่าจะนำพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่แนวปฏิบัติอย่างจริงจังได้อย่างไร แต่ขณะนี้คงไม่มีใครใส่ใจกับหนังสือเล่มนั้น เพราะนอกจากมันจะกลั่นออกมาจากสมองของปลาซิวปลาสร้อยแล้ว รัฐบาลยังกำลังประสบกับความกดดันรอบด้านโดยเฉพาะจากคนฉ้อฉลที่ปะปนอยู่ในรัฐบาลเองและจากพวกพ้องของนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อฉลสามคนที่พ้นอำนาจไป
ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่ผมเล่ามานี้จะมีผลผลักดันให้กระแสต่อต้านการเสริมสร้างทุนทางสังคมนับวันจะยิ่งเชี่ยวกรากขึ้น ฉะนั้น หากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสมกว่า ไม่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวมบ้างและไม่ช่วยกันขัดขวางคนเลว หรือดูดาย โอกาสที่เมืองไทยจะพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปมีเพียงน้อยนิด
เมื่อวันที่ 11 ผมเรียนว่าการจะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป สังคมไทยต้องเสริมสร้างทุนทางสังคมให้แข็งแกร่งขึ้น วันนี้จะเรียนว่า การทำเช่นนั้นนับวันจะยิ่งยากเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนวิวัฒนาการโลกจะเป็นอุปสรรคที่หนักหนาสาหัสขึ้น ปัจจัยพื้นฐานมี 4 อย่างด้วยกันคือ ทรัพยากร จำนวนคน การบริโภคของแต่ละคนและเทคโนโลยี เราทราบดีแล้วว่าโลกมีทรัพยากรจำกัด นั่นเป็นสัจพจน์ ขณะนี้โลกมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 6,800 ล้านคนแล้ว ทุกคนต้องบริโภค หรือใช้ทรัพยากรเพื่อยังชีวิต เทคโนโลยีถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา มันมีคุณอนันต์แต่มักแฝงโทษมหันต์มาด้วย
ก่อนเกิดยุคเกษตรกรรมเมื่อเกือบ 10,00 ปีที่แล้ว โลกมีประชากรประมาณ 5 ล้านคนซึ่งดำรงชีวิตด้วยการเก็บของป่าและล่าสัตว์ จึงจำกัดการบริโภคเท่าที่หาได้ เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้แก่การรู้จักปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ซึ่งเอื้อให้ผลิตอาหารได้มาก เมื่อมีอาหาร คนโบราณก็ผลิตลูกเพิ่ม พวกเขามีเวลาแสวงหาความก้าวหน้าและสร้างอาณาจักรต่างๆ ขึ้นด้วย แต่การเพิ่มขึ้นของประชากรและการสร้างอาณาจักรเหล่านั้นนำไปสู่การใช้ทรัพยากรมากขึ้น มันเป็นคำสาปของเทคโนโลยีใหม่เมื่อมันนำไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและการแย่งชิงทรัพยากรกันอย่างเข้มข้นจนในที่สุดอาณาจักรทั้งหลายก็ล่มสลายลง ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน โรมัน หรือมายา
โลกตกอยู่ในยุคเกษตรกรรมหลายพันปีก่อนที่เทคโนโลยีใหม่ซึ่งได้แก่เครื่องจักรกลจะเกิดขึ้นเมื่อราว 250 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นประชากรโลกเพิ่มเป็นประมาณ 800 ล้านคน เครื่องจักรกลทำให้เกิดยุคอุตสาหกรรมอันมีโรงงานขนาดใหญ่ที่จูงใจคนงานให้ทิ้งถิ่นฐานบ้านเดิมไปรับงานใหม่ในเมือง พวกเขามักถูกเอาเปรียบจากนายจ้างยังผลให้เกิดความแตกต่างอย่างฟ้ากับดินของคนสองชนชั้น ความแตกต่างนั้นผลักดันให้เกิดแนวคิดระบบคอมมิวนิสต์ ระบบนี้แตกต่างกับระบบตลาดเสรีซึ่งมีมาก่อนแล้วคือ รัฐเป็นเจ้าของทรัพยากรทุกอย่างและจะสั่งใครทำอะไรก็ได้ ในขณะที่ในระบบตลาดเสรี เอกชนมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพยากรและมีอิสระที่จะประกอบอาชีพ
ความก้าวหน้าทางการรักษาพยาบาลที่เกิดพร้อมๆ กันกับเครื่องจักรกลทำให้จำนวนคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและการแย่งชิงทรัพยากรเข้มข้นจนเกิดการล่าอาณานิคมและสงครามน้อยใหญ่ไปทั่วโลก สงครามเย็นเป็นสงครามที่ฝ่ายตลาดเสรีต่อสู่กับฝ่ายที่ใช้ระบบคอมมิวนิสต์ซึ่งมีผลทั้งในด้านการค้นพบเทคโนโลยีใหม่และการทำลายทรัพยากรที่ใช้สร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อทำลายล้างกัน ในบรรดาเทคโนโลยีใหม่ได้แก่เทคโนโลยีดิจิตอลซึ่งขับเคลื่อนให้เกิดยุคสารสนเทศเมื่อราว 30 ปีที่ผ่านมา แม้ฝ่ายคอมมิวนิสต์จะแพ้สงครามเย็น แต่การแย่งชิงทรัพยากรยังเข้มข้นเพราะจำนวนคนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายยิ่งกว่านั้น เกือบทุกคนยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุด เทคโนโลยีใหม่ช่วยแก้ปัญหาได้มากแต่ก็พกเอาคำสาปมาด้วยเช่นเดิม โดยเฉพาะการหลอมรวมตลาดเงินเป็นตลาดเดียวกันจนทำให้การโยกย้ายเงินจำนวนมหาศาลสามารถทำได้ภายในพริบตา เมืองไทยได้รับผลร้ายของการโยกย้ายเงินแบบนี้เมื่อกลางปี 2540
การบริโภคที่เพิ่มขึ้นแบบไม่มีที่สิ้นสุดนี้มีสหรัฐอเมริกาเป็นหัวหน้าใหญ่ซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยการให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนจนระบบตลาดเสรีเลื่อนไปตกขอบ แม้เศรษฐกิจจะขยายตัวจนเอื้อให้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่บริโภคได้มากจนอ้วนเกินพอดีและแต่ละคนใช้ทรัพยากรราว 6 เท่าของชาวโลกแล้ว แต่ชาวอเมริกันยังต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น วิธีที่พวกเขาจะทำได้คือการสร้างความร่ำรวยมหาศาลซึ่งมีค่าทำกับการแย่งชิงทรัพยากรมาไว้ในครอบครองนั่นเอง กระบวนการนี้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ นั่นคือ หนุ่มสาวอเมริกันที่มีมันสมองปราดเปรื่องนิยมเรียนวิชาบริหารธุรกิจแทนการเรียนสาขาที่นิยมกันมาก่อน เช่น แพทย์ เมื่อเรียนจบก็มักไปทำงานในภาคการเงินเพื่อหวังสร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งทำได้ แต่อีกส่วนหนึ่งกลับใช้การละเมิดจรรยาบรรณและการฉ้อโกง
วิธีการสร้างความร่ำรวยที่สำคัญได้แก่การสร้างนวัตกรรมทางการเงิน อาทิ การสร้างตราสารหนี้ขึ้นจากดัชนีและหนี้อื่นๆ แล้วนำมาขายในรูปของอนุพันธ์ และการตั้งกองทุนขนาดใหญ่เพื่อใช้เก็งกำไรและโจมตีค่าเงิน เมืองไทยได้เห็นพิษสงของกิจกรรมจำพวกนี้เมื่อปี 2540 วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันก็เกิดจากกระบวนการเดียวกัน นั่นคือ ชาวอเมริกันจำนวนมากก่อหนี้จนเกินระดับที่ตนสามารถชำระได้เพื่อนำเงินไปซื้อบ้าน
การก่อหนี้นั้นได้รับการช่วยเหลือจากนายหน้าซึ่งลดมาตรฐานของการให้กู้และบางคนทำผิดกฎหมายด้วยการสร้างหลักฐานเท็จขึ้น เมื่อให้กู้ไปแล้ว พวกเขาก็นำสัญญาหนี้ไปขายให้สถาบันการเงินซึ่งนำสัญญาเหล่านั้นมารวมกันแล้วแยกขายในรูปของอนุพันธ์ต่างๆ ผู้ที่ซื้อไปไม่รู้แม้กระทั่งความเสี่ยงเพราะคิดแต่เพียงว่าจะทำกำไรได้อย่างงดงาม นั่นเป็นการลงทุนที่มีจรรยาบรรณต่ำมาก เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้การซื้อขายอนุพันธ์จำนวนมหาศาลเกิดขึ้นได้เพราะมันทำให้ตลาดเงินไร้พรมแดนแล้ว กระบวนการนี้เป็นไปหลายรอบจนกระทั่งถึงวันที่ลูกหนี้จำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา ชนวนวิกฤตก็ถูกจุดให้ปะทุออกมาเมื่อกลางปี 2550
ปรากฏการณ์หลายอย่างในเมืองไทยอาจอธิบายได้ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ผลักดันให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรกันนี่เอง ความไร้จรรยาบรรณของชนชั้นพ่อค้าและความฉ้อฉลของชนชั้นผู้นำที่หาทางสร้างความร่ำรวยแบบไม่มีที่สิ้นสุดเป็นปรากฏการณ์เลวร้ายที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เทคโนโลยีร่วมสมัยช่วยให้การฉ้อฉลและการซุกซ่อนกลโกงทำได้ง่าย การสั่งจ่ายสินบนในต่างประเทศ การโยกย้ายเงินไปซุกไว้ในเกาะต่างๆ และการถอนเงินนั้นมาใช้ในการป่วนบ้านป่วนเมืองล้วนทำได้ภายในพริบตา แต่สังคมไทยก็ใช่จะโดดเดี่ยวเพราะประเทศที่ก้าวหน้า เช่น สหรัฐอเมริกาก็มีความฉ้อฉลเพิ่มขึ้นเช่นกัน
หากเราอ่านหนังสือชื่อ Are We Rome? ซึ่งมีบทคัดย่ออยู่ในเว็บไซต์ www.sawaiboonma.com ยิ่งกว่านั้น การแย่งชิงทรัพยากรกันในระดับประเทศก็เข้มข้นขึ้นด้วย เกือบทุกสัปดาห์จึงมีรายงานว่าจีนไปซื้อบริษัทขนาดยักษ์ที่ผลิตวัตถุดิบจากทั่วสารทิศ กระบวนการนี้มิใช่ของใหม่เพราะบริษัทใหญ่ๆ ของฝรั่งทำกันมานานแล้ว
ในภาวะเช่นนี้เรามีทางออกอย่างไร? อันที่จริงคนไทยเคยมองการณ์ไกลมาก่อน จึงได้ลดอัตราการเกิดของประชากรลงอย่างรวดเร็ว แต่เราต้องพยายามลดต่อไปจนกว่าประชากรไทยจะไม่เพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าคู่สามีภรรยาโดยทั่วไปไม่ควรมีลูกเกินสองคน อย่างไรก็ตาม การบริโภคของแต่ละคนยังเพิ่มขึ้นทั้งที่บางส่วนไม่มีความจำเป็น ฉะนั้น ผู้ที่เห็นว่าตนบริโภคเกินก็ควรลดส่วนนั้นลงบ้าง เกี่ยวกับประเด็นนี้ รัฐบาลมีบทบาทสำคัญ นั่นคือ ใช้มาตรการจูงใจให้ผู้ที่ยังไม่ค่อยตระหนักถึงผลเสียของการใช้ทรัพยากรเกินความจำเป็นให้หยุดยั้งและลดละการกระทำเช่นนั้น
ผมได้เสนอแนวคิดสำหรับมาตรการต่างๆ ไว้ในหนังสือชื่อ “ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤตไทย” ซึ่งคุณหมอนภาพร ลิมป์ปิยากรได้จัดพิมพ์เพื่อนำส่วนหนึ่งไปมอบให้ผู้ที่อาจมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคมอ่านรวมทั้งผู้ที่อยู่ในรัฐบาลด้วย แก่นของหนังสือคือการเสนอแนะว่าจะนำพระราชดำรัสเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่แนวปฏิบัติอย่างจริงจังได้อย่างไร แต่ขณะนี้คงไม่มีใครใส่ใจกับหนังสือเล่มนั้น เพราะนอกจากมันจะกลั่นออกมาจากสมองของปลาซิวปลาสร้อยแล้ว รัฐบาลยังกำลังประสบกับความกดดันรอบด้านโดยเฉพาะจากคนฉ้อฉลที่ปะปนอยู่ในรัฐบาลเองและจากพวกพ้องของนายกรัฐมนตรีขี้ฉ้อฉลสามคนที่พ้นอำนาจไป
ปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงที่ผมเล่ามานี้จะมีผลผลักดันให้กระแสต่อต้านการเสริมสร้างทุนทางสังคมนับวันจะยิ่งเชี่ยวกรากขึ้น ฉะนั้น หากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ตระหนัก ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสมกว่า ไม่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวมบ้างและไม่ช่วยกันขัดขวางคนเลว หรือดูดาย โอกาสที่เมืองไทยจะพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปมีเพียงน้อยนิด